อิสราเอลกำหนดเส้นตายนับตั้งแต่ปี 2031 หรือ พ.ศ.2574 หรือ 13 ปีข้างหน้า ห้ามประชาชนซื้อใช้ยานยนต์บริโภคเชื้อเพลิงน้ำมันเบนซินหรือน้ำมันดีเซล ให้เปลี่ยนซื้อใช้รถยนต์ไฟฟ้าหรือไม่ก็ยานยนต์ใช้ก๊าซธรรมชาติ นโยบายนี้กำลังท้าทายเสียงประท้วงวิพากษ์วิจารณ์จากชาวบ้านอย่างกว้างขวาง แต่รัฐบาลเชื่อมั่นจะผ่านร่างอนุมัติแผนให้ได้ภายในสิ้นปีนี้ อีกความท้าทายของรัฐบาลอิสราเอลคือ อยู่ระหว่างเร่งดำเนินการแผนรองรับนโยบายหยุดใช้ยานยนต์บริโภคน้ำมันเบนซินและดีเซลด้วยการเพิ่มงบประมาณลงทุนสร้างสถานีบริการชาร์จไฟยานยนต์และเพิ่มสถานีบริการเติมก๊าซธรรมชาติทั่วประเทศให้ได้อีกมากกว่า 2,000 แห่ง นอกเหนือจากนโยบายอื่นคือ ลดภาษีนำเข้ายานยนต์ไฟฟ้าลงเหลือเกือบ 0 เปอร์เซ็นต์ ความจริงจังต่อนโยบายเปลี่ยนใช้รถไฟฟ้าหรือรถใช้ก๊าซธรรมชาติของอิสราเอลสืบเนื่องจากเมื่อเร็วๆนี้อิสราเอลเพิ่งค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานสะอาดกว่าเชื้อเพลิงน้ำมัน ทำให้เชื่อมั่นจะใช้แหล่งพลังงานก๊าซธรรมชาติตอบสนองใช้กับยานพาหนะ โดยเฉพาะภาคขนส่งมวลชนและขนส่งสินค้าได้ทั่วถึงไม่ขาดแคลน
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า แนวโน้มการส่งออกของไทยปีนี้น่าจะเติบโตได้ 9-10% แต่สิ่งที่ ส.อ.ท.กังวลและต้องติดตามใกล้ชิดคือ มาตรการตอบโต้ทางการค้าของสหรัฐระลอก 2 ที่มีมูลค่า 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ครอบคลุมสินค้าเกือบทุกชนิดที่จีนส่งไปขายสหรัฐ หากยืดเยื้อและไม่สามารถเจรจาได้ คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตการ ส่งออกของไทยในปี 2562 อย่างชัดเจน และ ส่งออกอาจขยายตัวได้เพียง 4-5% โดยส่งออกคิดเป็นสัดส่วน 70% ของจีดีพี น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ผลกระทบสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐต่อการค้าโลก ในแง่ผลกระทบโดยรวม ยังคงกระทบต่อเสถียรภาพของเศรษฐกิจการค้าโลกในวงกว้าง เกิดการระมัดระวังเพิ่มผลผลิตและการลงทุน ทำให้กดดันบรรยากาศการค้าและการลงทุน รูปแบบและโครงสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศเปลี่ยนแปลงไป เกิดการเคลื่อนย้ายการลงทุน มีผลต่อพันธมิตรและการลงทุนใหม่ๆ ส่วนผลกระทบทางตรงที่ไทย ส่งออกไปยังสหรัฐ คือ เครื่องซักผ้า โซลาร์เซลล์ เหล็ก อะลูมิเนียม ซึ่งโดนมาตรการทางการค้า ส่วนยานยนต์และชิ้นส่วนอยู่ระหว่างการไต่สวน
อธิบดีกรมสรรพสามิตสั่งตั้งทีมศึกษาภาษีรถเอวีใหม่ ดึงผู้ประกอบการเอวี-อีโคคาร์ บีโอไอ กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมด้วย เผยไม่ได้ต้องการแค่รถยนต์ แต่ต้องลงทุนแล้วถ่ายทอดเทคโนโลยีไปยังอุตสาหกรรมอื่น เช่น รถไฟฟ้า โดรน นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาร่วมประชุมการปฏิรูปโครงสร้างภาษีรถยนต์เพื่อรองรับยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ในอนาคต โดยมีผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิตและผู้ประกอบการเกี่ยวข้องกับรถอีวีเข้าร่วมประชุม ซึ่งขอให้มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมา 1 ชุด เพื่อศึกษาถึงแนวทางการส่งเรื่องรถอีวี มีตัวแทนจากผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องทั้งรถอีวี และอีโคคาร์เข้าร่วม เนื่องจากนโยบายอีโคคาร์จะหมดอายุในปี 2570 นี้ รวมถึงมีตัวแทนจากกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เข้าร่วมด้วย เพื่อนำแผนการส่งเสริมที่กระทรวงอุตสาหกรรมและบีโอไอดำเนินการอยู่มาพิจารณาประกอบไปด้วย
EU กำหนดกรอบการดำเนินการ เพื่อควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ ภาคอุตสาหกรรมภายใน EU อย่างต่อเนื่อง ในปัจจุบัน EU มีกรอบการดำเนินการลด ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายใต้ชื่อ 2030 Climate & Energy Framework โดยประเทศสมาชิก EU จะต้องลดปริมาณ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 40% (เทียบกับ ระดับของปี 2533) ภายในปี 2573 แผนดำเนินงานดังกล่าว ได้ระบุกลุ่ม อุตสาหกรรมที่อยู่ภายใต้การควบคุม ได้แก่ 1) กลุ่มอุตสาหกรรม ที่อยู่ภายใต้ระบบ EU ETS ได้แก่ อุตสาหกรรมเคมีและเคมีภัณฑ์ อุตสาหกรรมพลาสติก อุตสาหกรรมยานยนต์และ ชิ้นส่วน อุตสาหกรรมการบิน อุตสาหกรรมอาหาร และเครื่องดื่ม อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมกระดาษและ เยื่อกระดาษ และอุตสาหกรรมเหล็ก และเหล็กกล้า และ 2) กลุ่มอุตสาหกรรมที่ ไม่ได้อยู่ภายใต้ระบบ EU ETS ได้แก่ การคมนาคมขนส่ง (ยกเว้นการบิน) การเคหะ การเกษตรกรรม และการจัดการของเสีย โดยทั้ง 2 กลุ่มอุตสาหกรรมจะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 43% และ 30% ภายในปี 2573 ตามลำดับ (เทียบกับระดับของปี 2548)