มีคนบางกลุ่มต้องการจะรักษาโลกไว้ แม่ตัวเองจะไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว ในเมืองออสโล (Oslo) บริษัทบริการจัดงานศพได้นำเสนอทริปเที่ยวเดียวสู่โลกหลังความตายในรถยนต์ไฟฟ้าขนส่งศพ โดยรถยนต์ไฟฟ้าคันดังกล่าวจะขับไปตามท้งถนนในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย “ในนอร์เวย์มีผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก และยังมีบางกลุ่มที่มีความหวังว่าจะได้เห็นโลกกลับมาเป็นสีเขียวอีกครั้ง” อ๊อด บอร์การ์ โจลสตัด (Odd Borgar Jolstad) กล่าวพร้อมสาธิตรถยนต์เทสลาที่ผ่านการดัดแปลงให้เป็นรถยนต์สำหรับขนส่ง ในอนุสรณ์สถาน เกรฟเซ่น (Grefsen) อันเงียบสงบที่สามารถมองเห็นเมืองหลวงได้ “นี่คือความร่วมมือเพียงเล็กน้อยของเรา ที่มีต่อสิ่งแวดล้อม” ในนอร์เวย์ ไม่ว่าจะรวยหรือจน หนุ่มหรือแก่ อาศัยในเมืองหรือชนบท รวมทั้งมงกุฎราชกุมารแห่งนอร์เวย์ ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องย้ายมาอยู่ในรถยนต์ไฟฟ้าคันดังกล่าว ตัวเลือกหนึ่งที่จะทำให้เมืองกลายเป็นสีเขียวคือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือขับเคลื่อนด้วยพลังงานน้ำ จากราคาที่สามารถเอื้อมถึงได้อย่างนิสสัน ลีฟ (Nissan LEAF) หรือแบรนด์หรูอย่างเทสลา (Tesla) กว่าครึ่งของรถยนต์ใหม่ที่ขายในประเทศเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาล้วนแต่เป็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าซึ่งมียอดจำหน่ายมากกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน โดยนอร์เวย์มีแผนที่จะลดมลภาวะให้เหลือศูนย์ภายในปี 2025 เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย นอร์เวย์จะต้องสร้างการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มจุดชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ทั้งระหว่างทางด่วน ในพื้นที่ชนบท รวมถึงที่จอดรถส่วนบุคคล
ที่มา : หนังสือพิมพ์ Bangkok Post ฉบับวันที่ 11 กรกฎาคม 2562
จากรายงานผลการวิจัยของ BloombergNEF (BNEF) คาดการณ์ว่ารถยนต์ไฟฟ้า หรือ EVs (Electric Vehicles) กำลังเดินหน้าสู่การเป็นเจ้าตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถบัสภายในปี 2583 และจะคืบคลานเข้ามามีบทบาทอย่างมากในตลาดรถตู้และรถบรรทุกสำหรับการใช้งานในระยะทางใกล้โดยจากการวิเคราะห์บนสถานการณ์ของอุตสาหกรรมรถยนต์ประเภทต่างๆ รวมถึงปัจจัยของแต่ละตลาดที่กำลังเปลี่ยนแปลง ชี้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะครองตลาดถึง 57% ของยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลภายในปีพ.ศ.2583 และคาดว่ารถบัสไฟฟ้าจะได้ส่วนแบ่งตลาดถึง 81% ของรถบัสที่ใช้ในเมืองในระยะเวลาเดียวกัน ชี้ให้เห็นว่ารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต่างๆจะครองตลาด 56% ของยอดขายรถยนต์เชิงพาณิชย์ขนาดกลางและขนาดเล็กในยุโรป อเมริกาและจีนภายใน2ทศวรรษข้างหน้า แต่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้ยากที่สุดคือรถบรรทุก โดยมีการคาดการณ์ว่าจะครองตลาดได้เพียง 19% ภายในปีพ.ศ.2583 ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ขับขี่ในระยะทางสั้น และรถกระบะขนาดใหญ่รุ่นทั่วไปที่ใช้กับงานระยะทางไกลจะเผชิญกับการแข่งขันในรูปแบบอื่นจากการใช้พลังงานทางเลือก เช่น แก๊สธรรมชาติและเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน นายโคลิน แม็คเคอราเซอร์ หัวหน้าแผนกยานยนต์ล้ำหน้าของ BNEF กล่าวว่า เราพบว่ายานยนต์ที่ขับเคลื่อนโดยพลังงานฟอสซิลเกือบทั้งหมดจะหมดไปบนท้องถนน แม้การเปลี่ยนมาใช้พลังงานไฟฟ้าในรถยนต์ยังคงต้องใช้เวลาเพราะการเปลี่ยนรุ่นรถยนต์ในโลกยังเป็นไปอย่างช้าๆ แต่ถ้าหากดำเนินมาถึงช่วงปีพ.ศ.2563-2572แล้ว ความนิยมก็จะเริ่มขยายเข้าสู่ยานยนต์ในหลายๆหมวด เราคิดว่ามีความเป็นไปได้มากทีเดียวที่ยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลรุ่นธรรมดาในตลาดโลกได้เลยจุดสูงสุดมาแล้วนายอาลี อิชาตี้ขนาจาฟายาดี้ หัวหน้าหลักในการวิเคราะห์การแบ่งปันยานพาหนะร่วมกัน (Shared mobility) กล่าวว่า ผู้ให้บริการแบ่งปันยานพาหนะร่วมกันจะเลือกเปลี่ยนมาให้บริการด้วยรถยนต์ไฟฟ้าเร็วกว่าผู้ใช้ทั่วไป ในปัจจุบันมีผู้ใช้บริการแบ่งปันยานพาหนะร่วมกันเช่นรถยนต์โดยสารถึง 1พันล้านคนทั่วโลก บริการนี้นับวันจะเติบโตขึ้นและจะค่อยๆลดความต้องการในการเป็นเจ้าของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแต่อย่างไรก็ตาม ตัวขับเคลื่อนหลักสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในช่วง 20ปีข้างหน้าคือราคาที่ลดลงอย่างมากของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะเป็นผลให้นับจากช่วงกลางหรือปลายปี 2563 เป็นต้นไปนั้น รถยนต์ไฟฟ้าจะมีราคาถูกกว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ในแทบทุกตลาด ทั้งด้านค่าใช้จ่ายตลอดอายุการใช้งานและค่าใช้จ่ายเฉพาะหน้า นับตั้งแต่ปีพ.ศ.2554 เป็นต้นมา ต้นทุนเฉลี่ยของแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงลดลงถึง 85% เนื่องจากการประหยัดต้นทุนการผลิตจากขนาด (Economy of scale) ผสมกับการพัฒนาเทคโนโลยีรายงานของ BNEF ยังคาดการณ์ด้วยว่าประเทศจีนยังคงเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะครองส่วนแบ่งตลาด 48% และ 26% ของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดที่จำหน่ายในปีพ.ศ.2568 และ พ.ศ.2583 ตามลำดับ และครองอันดับที่สองในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกในช่วงปีพ.ศ.2563 ถึง พ.ศ.2572
ที่มา : หนังสือพิมพ์ สยามธุรกิจ ฉบับวันที่ 10 กรกฎาคม 2562
พาณิชย์ดีเดย์ห้ามนำเข้ารถยนต์ส่วนตัวใช้แล้ว มีผล 10 ธ.ค.นี้ ระบุเพื่อป้องกันปัญหามลพิษและการหลบเลี่ยงมาตรการควบคุม เตือนผู้ประกอบการ และเจ้าของรถที่จะนำเข้ารถยนต์ภายใต้ระเบียบเดิม ต้องดำเนินการตามขั้นตอนไม่เกินวันที่ 9 ธ.ค. 62เท่านั้น นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ออกประกาศกำหนดให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้าม หรือต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร มีผลบังคับใช้วันที่ 10 ธ.ค. 2562 เป็นต้นไปโดยกำหนดให้รถยนต์นั่งที่ใช้แล้วเพื่อใช้เฉพาะตัวเป็นสินค้าต้องห้ามนำเข้า เพื่อป้องกันปัญหามลพิษต่อสิ่งแวดล้อม และความปลอดภัยบนท้องถนน รวมถึงแก้ไขปัญหาการหลบเลี่ยงมาตรการควบคุม และปรับลดขั้นตอนการทำงานเพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จัดประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2558สำหรับรถยนต์ประเภทอื่นกรมจะถ่ายโอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแล ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ยังคงกำกับดูแลรถยนต์ลักษณะพิเศษเพื่อใช้ในกิจการของตนเอง (รถเครน) และรถยนต์ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์การสาธารณกุศลได้รับบริจาค (รถพยาบาล และรถดับเพลิง)นายอดุลย์กล่าวอีกว่า ผู้ที่ประสงค์จะนำเข้ารถยนต์ใช้แล้วตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภท 87.01 (ยกเว้นรถหัวลาก) ประเภท 87.02 ประเภท 87.03 (ยกเว้นรถพยาบาล) ประเภท 87.04 และรถยนต์โบราณตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภท 97.06 ภายใต้ประกาศและระเบียบฉบับเดิมต้องนำเข้าภายในวันที่ 9 ธ.ค. 2562ขั้นตอนการขออนุญาตนำเข้าหากผู้นำเข้าแสดงหลักฐานและเอกสารประกอบคำขอได้สมบูรณ์ครบถ้วน กรมจะใช้เวลาในการพิจารณาอนุญาตไม่เกิน 25 วัน โดยต้องได้รับใบอนุญาตก่อนนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร และใบอนุญาตนำเข้าจะมีอายุไม่เกินวันที่ 9 ธ.ค. 2562 เท่านั้นทั้งนี้ รถยนต์ใช้แล้วภายใต้มาตรการควบคุมการนำเข้าของกระทรวงพาณิชย์ตั้งแต่ พ.ศ.2496 ประกอบด้วยรถยนต์ใช้แล้ว 9 ประเภท ได้แก่ 1.รถยนต์นั่งเพื่อใช้เฉพาะตัว 2.รถลักษณะพิเศษที่ใช้ในกิจการของตน 3.รถยนต์ทุกชนิดที่ได้รับการยกเว้นหรือชดเชยภาษี 4.รถยนต์โดยส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์การสาธารณกุศล 5.รถยนต์ที่ใช้แล้วทุกชนิดเป็นการชั่วคราว 6.รถยนต์เพื่อเป็นต้นแบบในการผลิตหรือทางการศึกษาวิจัย 7.รถยนต์เพื่อปรับสภาพแล้วส่งออก 8.รถยนต์เพื่อจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ และ 9.รถยนต์ทุกชนิดโดยใช้ประโยชน์สุทธินำกลับ
จากรายงานผลการวิจัยของ BloombergNEF (BNEF) คาดการณ์ว่ารถยนต์ไฟฟ้า หรือ EVs (Electric Vehicles) กำลังเดินหน้าสู่การเป็นเจ้าตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถบัสภายในปี 2583 และจะคืบคลานเข้ามามีบทบาทอย่างมากในตลาดรถตู้และรถบรรทุกสำหรับการใช้งานในระยะทางใกล้โดยจากการวิเคราะห์บนสถานการณ์ของอุตสาหกรรมรถยนต์ประเภทต่างๆ รวมถึงปัจจัยของแต่ละตลาดที่กำลังเปลี่ยนแปลง ชี้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะครองตลาดถึง 57% ของยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลภายในปีพ.ศ.2583 และคาดว่ารถบัสไฟฟ้าจะได้ส่วนแบ่งตลาดถึง 81% ของรถบัสที่ใช้ในเมืองในระยะเวลาเดียวกัน ชี้ให้เห็นว่ารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต่างๆจะครองตลาด 56% ของยอดขายรถยนต์เชิงพาณิชย์ขนาดกลางและขนาดเล็กในยุโรป อเมริกาและจีนภายใน2ทศวรรษข้างหน้า แต่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้ยากที่สุดคือรถบรรทุก โดยมีการคาดการณ์ว่าจะครองตลาดได้เพียง 19% ภายในปีพ.ศ.2583 ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ขับขี่ในระยะทางสั้น และรถกระบะขนาดใหญ่รุ่นทั่วไปที่ใช้กับงานระยะทางไกลจะเผชิญกับการแข่งขันในรูปแบบอื่นจากการใช้พลังงานทางเลือก เช่น แก๊สธรรมชาติและเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน นายโคลิน แม็คเคอราเซอร์ หัวหน้าแผนกยานยนต์ล้ำหน้าของ BNEF กล่าวว่า เราพบว่ายานยนต์ที่ขับเคลื่อนโดยพลังงานฟอสซิลเกือบทั้งหมดจะหมดไปบนท้องถนน แม้การเปลี่ยนมาใช้พลังงานไฟฟ้าในรถยนต์ยังคงต้องใช้เวลาเพราะการเปลี่ยนรุ่นรถยนต์ในโลกยังเป็นไปอย่างช้าๆ แต่ถ้าหากดำเนินมาถึงช่วงปีพ.ศ.2563-2572แล้ว ความนิยมก็จะเริ่มขยายเข้าสู่ยานยนต์ในหลายๆหมวด เราคิดว่ามีความเป็นไปได้มากทีเดียวที่ยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลรุ่นธรรมดาในตลาดโลกได้เลยจุดสูงสุดมาแล้วนายอาลี อิชาตี้ขนาจาฟายาดี้ หัวหน้าหลักในการวิเคราะห์การแบ่งปันยานพาหนะร่วมกัน (Shared mobility) กล่าวว่า ผู้ให้บริการแบ่งปันยานพาหนะร่วมกันจะเลือกเปลี่ยนมาให้บริการด้วยรถยนต์ไฟฟ้าเร็วกว่าผู้ใช้ทั่วไป ในปัจจุบันมีผู้ใช้บริการแบ่งปันยานพาหนะร่วมกันเช่นรถยนต์โดยสารถึง 1พันล้านคนทั่วโลก บริการนี้นับวันจะเติบโตขึ้นและจะค่อยๆลดความต้องการในการเป็นเจ้าของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแต่อย่างไรก็ตาม ตัวขับเคลื่อนหลักสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในช่วง 20ปีข้างหน้าคือราคาที่ลดลงอย่างมากของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะเป็นผลให้นับจากช่วงกลางหรือปลายปี 2563 เป็นต้นไปนั้น รถยนต์ไฟฟ้าจะมีราคาถูกกว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ในแทบทุกตลาด ทั้งด้านค่าใช้จ่ายตลอดอายุการใช้งานและค่าใช้จ่ายเฉพาะหน้า นับตั้งแต่ปีพ.ศ.2554 เป็นต้นมา ต้นทุนเฉลี่ยของแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงลดลงถึง 85% เนื่องจากการประหยัดต้นทุนการผลิตจากขนาด (Economy of scale) ผสมกับการพัฒนาเทคโนโลยีรายงานของ BNEF ยังคาดการณ์ด้วยว่าประเทศจีนยังคงเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะครองส่วนแบ่งตลาด 48% และ 26% ของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดที่จำหน่ายในปีพ.ศ.2568 และ พ.ศ.2583 ตามลำดับ และครองอันดับที่สองในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกในช่วงปีพ.ศ.2563 ถึง พ.ศ.2572
ที่มา : หนังสือพิมพ์ สยามธุรกิจ ฉบับวันที่ 10 กรกฎาคม 2562
พาณิชย์ดีเดย์ห้ามนำเข้ารถยนต์ส่วนตัวใช้แล้ว มีผล 10 ธ.ค.นี้ ระบุเพื่อป้องกันปัญหามลพิษและการหลบเลี่ยงมาตรการควบคุม เตือนผู้ประกอบการ และเจ้าของรถที่จะนำเข้ารถยนต์ภายใต้ระเบียบเดิม ต้องดำเนินการตามขั้นตอนไม่เกินวันที่ 9 ธ.ค. 62เท่านั้น นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ออกประกาศกำหนดให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้าม หรือต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร มีผลบังคับใช้วันที่ 10 ธ.ค. 2562 เป็นต้นไปโดยกำหนดให้รถยนต์นั่งที่ใช้แล้วเพื่อใช้เฉพาะตัวเป็นสินค้าต้องห้ามนำเข้า เพื่อป้องกันปัญหามลพิษต่อสิ่งแวดล้อม และความปลอดภัยบนท้องถนน รวมถึงแก้ไขปัญหาการหลบเลี่ยงมาตรการควบคุม และปรับลดขั้นตอนการทำงานเพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จัดประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2558สำหรับรถยนต์ประเภทอื่นกรมจะถ่ายโอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแล ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ยังคงกำกับดูแลรถยนต์ลักษณะพิเศษเพื่อใช้ในกิจการของตนเอง (รถเครน) และรถยนต์ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์การสาธารณกุศลได้รับบริจาค (รถพยาบาล และรถดับเพลิง)นายอดุลย์กล่าวอีกว่า ผู้ที่ประสงค์จะนำเข้ารถยนต์ใช้แล้วตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภท 87.01 (ยกเว้นรถหัวลาก) ประเภท 87.02 ประเภท 87.03 (ยกเว้นรถพยาบาล) ประเภท 87.04 และรถยนต์โบราณตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภท 97.06 ภายใต้ประกาศและระเบียบฉบับเดิมต้องนำเข้าภายในวันที่ 9 ธ.ค. 2562ขั้นตอนการขออนุญาตนำเข้าหากผู้นำเข้าแสดงหลักฐานและเอกสารประกอบคำขอได้สมบูรณ์ครบถ้วน กรมจะใช้เวลาในการพิจารณาอนุญาตไม่เกิน 25 วัน โดยต้องได้รับใบอนุญาตก่อนนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร และใบอนุญาตนำเข้าจะมีอายุไม่เกินวันที่ 9 ธ.ค. 2562 เท่านั้นทั้งนี้ รถยนต์ใช้แล้วภายใต้มาตรการควบคุมการนำเข้าของกระทรวงพาณิชย์ตั้งแต่ พ.ศ.2496 ประกอบด้วยรถยนต์ใช้แล้ว 9 ประเภท ได้แก่ 1.รถยนต์นั่งเพื่อใช้เฉพาะตัว 2.รถลักษณะพิเศษที่ใช้ในกิจการของตน 3.รถยนต์ทุกชนิดที่ได้รับการยกเว้นหรือชดเชยภาษี 4.รถยนต์โดยส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์การสาธารณกุศล 5.รถยนต์ที่ใช้แล้วทุกชนิดเป็นการชั่วคราว 6.รถยนต์เพื่อเป็นต้นแบบในการผลิตหรือทางการศึกษาวิจัย 7.รถยนต์เพื่อปรับสภาพแล้วส่งออก 8.รถยนต์เพื่อจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ และ 9.รถยนต์ทุกชนิดโดยใช้ประโยชน์สุทธินำกลับ
ที่มา : หนังสือพิมพ์ ข่าวสด ฉบับวันที่ 10 กรกฎาคม 2562
The European Union is starting to act like China when it comes to building the batteries that will drive the next generation of electric vehicles.In the past few months, government officials led by European Commission Vice President Maros Sefcovic have joined with manufacturers, development banks and commercial lenders on measures that will channel more than €100 billion ($113 billion) into a supply chain for the lithium ion packs that will power electric cars.Germany and France are prodding for action out of concern that China is racing ahead in new technologies sweeping the auto industry. With 13.8 million jobs representing 6.1 percent of employment linked to traditional auto manufacturing in the EU, authorities want to ensure that manufacturers can pivot toward supplying electric cars and batteries."We are walking the talk," Sefcovic said in remarks to Bloomberg. "We have overcome an initial resignation that this battle would be a lost one for Europe."A number of trends are catalyzing the program, starting with the determination by EU nations to rein in greenhouse gases and fight climate change. They are increasingly focused on reducing pollution from diesel engines and alarmed at the head start Chinese companies have in greener technologies.French President Emmanuel Macron in February said he "cannot be happy with a situation where 100 percent of the batteries of my electric vehicles are produced in Asia."
Drivetrains go electric
So far, the EU's program is starting to work and putting Europe on track to wrest market share away from China. By 2025, European companies that currently lack a single large battery maker will rival the U.S. in terms of capacity, according to forecasts from BloombergNEF. Measures that will spur investment include:
• France and Germany are working on measures to channel billions of euros into the battery industry. Sefcovic has said the European Commission may be able to embrace the state-aid proposal as a special project by the end of October. The two nations are seeking to draw in additional support from Spain, Sweden and Poland.
• The European Investment Bank gave preliminary approval in May to a 350 million-euro loan supporting NorthVolt's bid to build a battery gigafactory in Sweden after the company completed a fund raising.
• The EIB along with the European Bank for Reconstruction & Development are working on a "raw materials investment facility" that will help to build a supply chain for rare earth metals needed for batteries, according to Sefcovic who says he hopes the program will be launched by the end of the year.
• The EU in May started a 100 million-euro Breakthrough Energy Ventures fund with Microsoft founder Bill Gates and other investors to advance the energy transition, which is likely to include batteries.
• The EC has gathered at least 260 industrial companies including PSA Group, Total and Siemens in an alliance aimed at building capacity to make the energy storage devices in Europe.
"A year or two ago, everyone was under the impression that it was already too late for Europe," said James Frith, an energy storage analyst at BloombergNEF in London. "But they've made a commitment, and Europe is in a strong position now."By 2025, Europe may control 11 percent of global battery cell manufacturing capacity, up from 4 percent now, according to Frith. That will pare back China's market share and rival the U.S. command of the industry. The EC estimates the battery market may be worth 250 billion euros a year by then. It estimates at least 100 billion euros already has been committed to battery factories or their suppliers in Europe.The goal is to build enterprises in Europe that could supply the region's automakers without requiring imports from the major battery manufacturing centers in Asia. Currently, Contemporary Amperex Technology Co., or CATL, and BYD dominate production in China.Elon Musk's Tesla is also building battery gigafactories in the U.S.So far, Europe has no established battery supply chain, though it has drawn investment in local factories from Korean firms including LG Chem and Samsung SDI as well as CATL.The new ambition of the Commission is to stimulate companies big enough to supply the likes of BMW and Volkswagen Group, which plan a massive increase in electric-car production. Across the industry, the outlook is for a rising portion of cars to run on batteries in the coming years.No single company will get the lion's share of the investment or aid. Instead, dozens will benefit in addition to PSA and Total, which are building a cell plant in Kaiserslautern, Germany. Funds will also trickle into suppliers of parts or raw materials including Siemens, Umicore, Solvay and Manz. Scarred by losing control of the solar industry in the last decade, Germany is leading the push. The nation was the biggest producer of solar cells in the early 2000s before Chinese companies backed by government loans took the lead.When it comes to batteries, Economy and Energy Minister Peter Altmaier is focused on the 800,000 jobs in Germany tied directly to car manufacturing. Batteries account for about a third of the value of an electric car, and without facilities to make those in Europe, more jobs will go to Asia, Altmaier has said."There's going to be huge demand in Europe for battery cells," Altmaier said on Germany's ARD Television in June. "We must have the ambition to build the best battery cells in the world in Europe and Germany."Sefcovic envisions 10 or 20 "gigafactories" making battery cells across Europe and with his support the European Battery Alliance is seeking to coordinate research that will be the foundation of the plan. NorthVolt intends to be one of the major battery makers, supplying BMW and other major automakers."If we want to be one of the major manufacturers in Europe by 2030 we need to build about 150 gigawatt-hours of capacity,'' said NorthVolt CEO Peter Carlsson."The customer demand is so strong that we are accelerating our plans. We have taken a huge step on the way to create a new Swedish industry that will have a big impact in cutting our dependence of fossil fuels.''
ยุโรปเริ่มดำเนินการสร้างอุตสาหกรรมแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าตามรอยเท้าจีน
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาสหภาพยุโรปได้มีการอนุมัติงบประมาณถึง 100,000 ล้านยูโร เพื่อใช้ในการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานแบตเตอรี่ลิเทียมสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในยุโรป ซึ่งเมื่อมองกลับไปถึงจุดเริ่มต้นของการผลักดันการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้านั้นมาจากสหภาพยุโรปเองที่มีความตั้งใจที่จะลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการลดการใช้งานเครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งหลังจากนั้นทางสหภาพยุโรปก็ได้พบว่าประเทศจีน รวมถึงประเทศในเอเชีย มีเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ดีกว่าตน ส่งผลให้แบตเตอรี่ของรถยนต์ที่ใช้งานในยุโรปถูกผลิตในทวีปเอเชีย โดย ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ได้กล่าวว่าเค้าไม่สามารถมีความสุขได้หากแบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้าของเขามาจากเอเชียทั้งหมด โดยในปี 2025 ยุโรปจะมีกำลังการผลิตแบตเตอรี่เทียบเท่ากับสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะมีกำลังการผลิตแบตเตอรี่ถึงร้อยละ 11 ของกำลังการผลิตแบตเตอรี่ในโลกเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 4 ในปัจจุบัน ซึ่งแบตเตอรี่ที่ผลิตได้จะใช้สำหรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค โดยหวังว่าการผลิตแบตเตอรี่ให้ผู้ผลิตรถยนต์ยุโรปที่มีแผนในการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า หรือ เพิ่มส่วนแบ่งตลาดสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า อย่าง BMW และ Volkswagen Group จะสามารถเพิ่มปริมาณการผลิตแบตเตอรี่ในภูมิภาคได้
Shares of Maruti Suzuki India and Hero MotoCorp hit multi-year lows on Monday after the government proposed to raise duties on auto parts and slapped additional taxes on fuel, posing new challenges to the sector already gripped by a slowdown.Maruti's shares plunged as much as 6% to touch 5,985.55 rupees, the lowest in more than two years. Hero MotoCorp, India's biggest two-wheeler maker, hit a near four-year low with a 6.1% slump. Mahindra and Mahindra and Tata Motors, too, fell 1.1% and 3.4% respectively, while the benchmark S&P BSE Sensex lost 2%.The government plans to increase customs duties on automobiles and parts such as locks and catalytic converters, Finance Minister Nirmala Sitharaman said in her maiden budget speech on Friday. The government also proposes to increase certain taxes on petrol and diesel, she said."The auto industry is currently going through a very difficult time and the industry was expecting some form of a stimulus package in the budget," Rajan Wadhera, president of the Society of Indian Automobile Manufacturers, or SIAM, said in a statement. "It is disappointing that the finance minister has not recognized the distress in the auto sector and not come out with any kind of support or stimulus."The government's proposed measures could further aggravate the slowdown in the industry, he said.India's automobile industry has been facing a downtrend over the past one year as lack of credit and rural distress weakened consumer spending in Asia's third-largest economy. The industry's sales volumes expanded at the slowest pace in five years in the fiscal year ended March 31.
มารูติ ซูซูกิ หุ้นส่วนของฮีโร่ มอเตอร์คอร์ป แชร์ความตกต่ำหลังหักภาษีในงบประมาณของอินเดีย
ผู้ถือหุ้นของ มารูติ ซูซูกิอินเดีย (Maruti Suzuki India) และฮีโร่ มอเตอร์คอร์ป (Hero MotoCorp) แตะยอดขายระดับต่ำสุดในรอบหลายปีเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา หลังจากรัฐบาลประกาศจะขึ้นภาษีในส่วนของชิ้นส่วนยานยนต์ รวมถึงภาษีน้ำมันเชื้อเพลิง ส่งผลให้ความท้าทายใหม่ๆในวงการดังกล่าวเข้าสู่การชะลอตัวหุ้นของมูราติลดลงมากถึง6เปอร์เซ็นต์ โดยราคาตกลงมาแตะ5,985.55รูปี ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ2ปี ฮีโร่ มอเตอร์คอร์ป บริษัทผู้ผลิตรถจักรยานยนต์สองล้อรายใหญ่ของอินเดีย ยอดขายลดลงในรอบ4ปี โดยมีเปร์เซ็นต์ลดลงถึง 6.1เปอร์เซ็นต์ โดยยอดขายของมหินทรา (Mahindra) และทาทา มอเตอร์ (Tata Motors) ก็ตกลงกว่า 1.1 และ 3.4 เปอรเซ็นต์ตามลำดับเช่นกัน ในขณะที่ เอสแอนด์พี บีเอสอี เซนเส็กส์ ลดลงถึง2เปอร์เซ็นต์รัฐบาลมีแผนที่จะขึ้นภาษีในส่วนของรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ เช่นกลอนประตูรถ คาตาลิค คอนเวอร์เตอร์ รัฐมนตรีวารเงินของอินเดีย เนอร์มาลา สิทารามัน (Nirmala Sitharaman) กล่าวในแถลงการณ์งบประมาณครั้งแรกของเธอว่า รัฐบาลยังมีแผนการที่จะปรับขึ้นภาษีในส่วนของน้ำมันปิโตรและดีเซล“อุตสาหกรรมยานยนต์ในขณะนี้กำลังเข้าสู่ชาวงยากลำบาก อีกทั้งยังคงมองหาแนวทางเพื่อกระตุ้นสถานการณ์ทางการเงิน” กล่าวโดย ราชัน วัดเฮร่า (Rajan Wadhera) ประธานสมาคมผู้ผลิตยานยนต์ของอินเดีย (the Society of Indian Automobile Manufactures: SIAM) ยังกล่าวอีกว่า “นี่ยังเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังที่รัฐมนตรีการเงินไม่ได้คิดถึงความทุกข์ร้อนของฝั่งผู้ผลิตยานยนต์ และไม่มีแนวทางได้ที่จะมาสนับสนุนหรือกระตุ้นเลย”อุตสาหกรรมยานยนต์ของอินเดียยังคงเผชิญหน้าอย่างหนักกับขาลงในช่วงปีที่ผ่านมาจากการขาดเครดิต ความลำบากที่เกิดขึ้นในชาวชนบททำให้ยอดผู้บริโภคของสามบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียต้องลดลง ยอดขายในอุตสาหกรรมขยายตัวอย่างช้าๆในจำนวนน้อยกว่าที่ตั้งเป้าไว้ โดยปีงบประมาณจะจบในวันที่31มีนาคม
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ร่วมมืออย่างต่อเนื่องกับทั้งภาครัฐ และพันธมิตรภาคเอกชน ในการสนับสนุน พัฒนาระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับยนตรกรรมไฟฟ้า และการติดตั้งสถานีชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า และการติดตั้งสถานีชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า โดยในปี 2559 ที่ผ่านมา บริษัทร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เพื่อดำเนินโครงการนำร่อง “Electric Vehicle Charging and Car Sharing Zones” หรือ Charge&Share โดยบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย นำรถยนต์บีเอ็มดับเบิ้ลยู 330e และบีเอ็มดับเบิลยู x5 xDrive40e ให้ทางมหาวิทยาลัยทดลองใช้ในโครงการดังกล่าว การร่วมมือกับบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เชื่อมั่นว่าโครงการนี้จะเป็นอีกก้าวสำคัญที่จำนำประเทศไทยไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน สำหรับโครงการ Charge & Share นั้น มจธ. เปิดสถานีประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าขึ้น โดยมีรถยนต์ให้บริการในรูปแบบ Car Sharing ซึ่งหนึ่งในนั้นคือรถยนต์ไฟฟ้า บีเอ็มดับเบิลยู i3 บุคคลากรของวิทยาลัยนำไปใช้ในงานราชการ พร้อมเก็บข้อมูลพฤติกรรมการขับขี่เพื่อศึกษาลักษณะการใช้งาน รวมถึงข้อจำกัดต่างๆ ของการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ควบคู่ไปกับการศึกษาพฤติกรรมของคนไทยในการใช้บริการระบบ Car Sharing และ EV Car Sharing เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย และระบบ Car Sharing แห่งแรกของประเทศไทย ในการช่วยบริหารจัดการระบบการจองและคืนรถ รวมไปถึงให้บริการผู้ใช้อีกด้วย
นายพัฒนเดช อาสาสรรพกิจ ประธานจัดงาน ฟาสต์ ออโต โชว์ ไทยแลนด์ 2019 เปิดเผยว่างานมหกรรมแสดงและจำหน่ายรถยนต์ใหม่และรถยนต์ใช้แล้ว หรืองานฟาสต์ ตั้งแต่วันที่ 26-30 มิถุนายน 2562 ที่ไบเทค ยอดขายดีเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้พอสมควร เพราะตลอด 5 วันจัดงานมีฝนตกลงมาต่อเนื่อง แต่ผู้สนใจเข้ามาชมงานปีนี้ 292,500 คน จากเป้าหมายที่ตั้งเป้าไว้ 250,000 คน มากกว่าเป้า 17% ยอดขายรถยนต์รวมทั้ง 2 ประเภท คือรถยนต์ใหม่ป้ายแดงและรถยนต์ที่ใช้แล้ว 3,335 คัน ยอดขายตั้งไว้ 3,000 คันมากกว่าเป้าหมาย 11.2% จำแนกยอดขายรถใหม่ป้ายแดง 2,121 คัน ยอดขายที่ตั้งไว้ 2,000 คัน มากกว่าที่ตั้งไว้ 6% และยอดขายรถยนต์ใช้แล้วอยู่ที่ 1,214 คัน ยอดขายที่ตั้งไว้ 1,000 คัน เติบโต 21.24% มียอดเงินสะพัดกว่า 2,855 ล้านบาท จากตัวเลขที่คาดการณ์ก่อนจัดงาน 2,000-2,500 ล้านบาท มากกว่าคาดการณ์ 14.2% สำหรับการจัดงานครั้งต่อไป ก้าวสู่ปีที่ 9 กำหนดให้มีขึ้นระหว่างที่ 1-5 กรกฎาคม 2563
ที่มา : หนังสือพิมพ์ มติชน ฉบับวันที่ 9 กรกฎาคม 2562