นิสสันเผยวิสัยทัศน์อนาคตของการขับขี่ในภูมิภาคเอเชียเนีย ซึ่งจะขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า การเชื่อมต่อ และการขับขี่ที่ไร้คนขับมากขึ้น ในงาน iEVTech 2019 งานประชุมเชิงวิชาการและนิทรรศการเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้านานาชาติ ครั้งที่ 4 นอกจากนี้ยังได้ร่วมแชร์บทบาทของนิสสันในการสร้างเมืองอัจฉริยะเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนทั่วทั้งเอเชีย วินเซนต์ ไวจ์เนน รองประธานอาวุโสฝ่ายขายและการตลาด นิสสัน เอเซียและโอเชียเนีย และปีเตอร์ แกลลี รองประธาน สายงานสื่อสารองค์กร นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย ร่วมบรรยายถึงบทบาทของรถยนต์ไฟฟ้าที่มีความสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของภูมิภาค พร้อมให้ความรู้และไขข้อสงสัย ตลอดจนสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าอีกด้วย การขยายตัวของเมืองใหญ่ในเอเชียแปซิฟิกทำให้เกิดปัญหามลพิษซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่เราต้องหันมาให้ความสำคัญเพิ่มมากขึ้น ความต้องการในการขับรถยนต์ที่กำลังเปลี่ยนไปในเมืองใหญ่ของอาเซียนในอนาคต โดยนิสสันเชื่อมั่นว่ารถยนต์ไฟฟ้าที่ไร้มลพิษอย่างนิสสัน ลีฟ ใหม่ มีศักยภาพในการช่วยแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมให้กับประเทศไทยและทั่วภูมิภาคนี้ นิสสัน ประเทศไทย เดินหน้าประกาศความร่วมมือเพื่อสนับสนุนการสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าที่ยั่งยืนร่วมกับหลายหน่วยงานในประเทศไทย
ที่มา : หนังสือพิมพ์ ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 16 กรกฎาคม 2562
นิสสันเผยวิสัยทัศน์อนาคตของการขับขี่ในภูมิภาคเอเชียเนีย ซึ่งจะขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า การเชื่อมต่อ และการขับขี่ที่ไร้คนขับมากขึ้น ในงาน iEVTech 2019 งานประชุมเชิงวิชาการและนิทรรศการเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้านานาชาติ ครั้งที่ 4 นอกจากนี้ยังได้ร่วมแชร์บทบาทของนิสสันในการสร้างเมืองอัจฉริยะเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนทั่วทั้งเอเชีย วินเซนต์ ไวจ์เนน รองประธานอาวุโสฝ่ายขายและการตลาด นิสสัน เอเซียและโอเชียเนีย และปีเตอร์ แกลลี รองประธาน สายงานสื่อสารองค์กร นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย ร่วมบรรยายถึงบทบาทของรถยนต์ไฟฟ้าที่มีความสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของภูมิภาค พร้อมให้ความรู้และไขข้อสงสัย ตลอดจนสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าอีกด้วย การขยายตัวของเมืองใหญ่ในเอเชียแปซิฟิกทำให้เกิดปัญหามลพิษซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่เราต้องหันมาให้ความสำคัญเพิ่มมากขึ้น ความต้องการในการขับรถยนต์ที่กำลังเปลี่ยนไปในเมืองใหญ่ของอาเซียนในอนาคต โดยนิสสันเชื่อมั่นว่ารถยนต์ไฟฟ้าที่ไร้มลพิษอย่างนิสสัน ลีฟ ใหม่ มีศักยภาพในการช่วยแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมให้กับประเทศไทยและทั่วภูมิภาคนี้ นิสสัน ประเทศไทย เดินหน้าประกาศความร่วมมือเพื่อสนับสนุนการสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าที่ยั่งยืนร่วมกับหลายหน่วยงานในประเทศไทย
ที่มา : หนังสือพิมพ์ ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 16 กรกฎาคม 2562
บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำภาพลักษณ์ผู้นำในกลุ่มรถยนต์สมรรถนะสูง จัดกิจกรรม “เอเอ็มจี ไดรฟ์วิ่ง อะคาเดมี” (AMG Driving Academy) ฝึกอบรมขับขี่รถยนต์สมถรรณะสูงครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรียนรู้เทคนิคการขับขี่โดยทีมผู้ฝึกสอนมืออาชีพจากเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี ดีกรีแชมป์การแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตระดับโลก และเบิร์น ชไนเดอร์ แบรนด์แอมบาสซาเดอร์ของเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี นักแข่งเมืองเบียร์ เจ้าของตำแหน่งแชมป์ DTM 5 สมัย และแชมป์ 2 สมัยจากสนามนูร์เบอร์กริง พร้อมสัมผัสสมถรรณะรถยนต์สปอร์ตสายพันธุ์แรง ภายใต้แบรนด์ เมอเซเดส-เอเอ็มจี ยึดถือหลักการสร้างสรรค์รถยนต์ที่สามารถ “ขับเคลื่อนทุกสมถรรณะ Driving Performance” เป็นหัวใจหลักของแบรนด์รถสปอร์ตระดับแนวหน้าของโลกที่โดดเด่นทั้งในด้านกีฬามอเตอร์สปอร์ต และด้านการพัฒนารถยนต์ที่มีเอกลักษณ์ โดยในปีที่ผ่านมามียอดจำหน่ายทั่วโลกสูงถึง 609,000 คัน ส่วนประเทศไทยได้การตอบรับที่ดี เช่นกัน ยอดขายพุ่งสูงขึ้นเป็นลำดับโดยในปี พ.ศ. 2561 มียอดขายเติบโตจากปีก่อนหน้าขึ้นถึง 309% มีครอสฝึกอบรมทั้งหมด 6 สถานี โดยจะให้ความรู้และทักษะขับขี่ สามารถเอามาใช้ในการขับขี่รถประจำวันได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะ เทคโนโลยีวิศวกรจับยัดเข้าไปในรถทุกคัน เพื่อความปลอดภัยของลูกค้า
ที่มา : หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 15 กรกฎาคม 2562
บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำภาพลักษณ์ผู้นำในกลุ่มรถยนต์สมรรถนะสูง จัดกิจกรรม “เอเอ็มจี ไดรฟ์วิ่ง อะคาเดมี” (AMG Driving Academy) ฝึกอบรมขับขี่รถยนต์สมถรรณะสูงครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรียนรู้เทคนิคการขับขี่โดยทีมผู้ฝึกสอนมืออาชีพจากเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี ดีกรีแชมป์การแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตระดับโลก และเบิร์น ชไนเดอร์ แบรนด์แอมบาสซาเดอร์ของเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี นักแข่งเมืองเบียร์ เจ้าของตำแหน่งแชมป์ DTM 5 สมัย และแชมป์ 2 สมัยจากสนามนูร์เบอร์กริง พร้อมสัมผัสสมถรรณะรถยนต์สปอร์ตสายพันธุ์แรง ภายใต้แบรนด์ เมอเซเดส-เอเอ็มจี ยึดถือหลักการสร้างสรรค์รถยนต์ที่สามารถ “ขับเคลื่อนทุกสมถรรณะ Driving Performance” เป็นหัวใจหลักของแบรนด์รถสปอร์ตระดับแนวหน้าของโลกที่โดดเด่นทั้งในด้านกีฬามอเตอร์สปอร์ต และด้านการพัฒนารถยนต์ที่มีเอกลักษณ์ โดยในปีที่ผ่านมามียอดจำหน่ายทั่วโลกสูงถึง 609,000 คัน ส่วนประเทศไทยได้การตอบรับที่ดี เช่นกัน ยอดขายพุ่งสูงขึ้นเป็นลำดับโดยในปี พ.ศ. 2561 มียอดขายเติบโตจากปีก่อนหน้าขึ้นถึง 309% มีครอสฝึกอบรมทั้งหมด 6 สถานี โดยจะให้ความรู้และทักษะขับขี่ สามารถเอามาใช้ในการขับขี่รถประจำวันได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะ เทคโนโลยีวิศวกรจับยัดเข้าไปในรถทุกคัน เพื่อความปลอดภัยของลูกค้า
หากคุณหลงใหลในรถพลังงานไฟฟ้า วันนี้ ฐานยานยนต์ ขอนำเสนอ EVจากประเทศจีน (Baojun E200) ซึ่งเป็น ทริปที่คณะสื่อไทยได้รับเชิญจาก เจเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ประเทศไทย ให้ไปเยี่ยมชมอุตสาหกรรมรถยนต์แบบครบวงจรของ SGMW กรุ๊ป (SIAC Motor+GM+Wuling Motors) หนึ่งในทริปคือการชมสายพานการผลิตและทดลองขับรถพลังงานไฟฟ้าแบบ “ไมโครคาร์” Baojun E200 รถยนต์ 2ที่นั่ง ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในเมืองหลิ่วโจว ถือเป็นไมเนอร์เชนจ์จากรถยนต์ที่ผลิตออกมารุ่นก่อนหน้า Baojun E100 พื้นฐานของ Baojun E200 อัพเกรดจาก Baojun E100 ตัวรถมีการปรับปรุงหน้าตาใหม่รอบคันให้ดูทันสมัย เริ่มจากการมีแต่ไฟหน้า ไม่มีไฟตัดหมอก ปรับดีไซน์ไฟเลี้ยว เปลี่ยนตำแหน่งเกียร์จากกลางห้องโดยสารมา ไว้บนคอนโซลหน้ารถ มีแค่เกียร์ P, D, และN อีกทั้งยังเงียบเมื่อสตาร์ท เนื่องจากมอเตอร์ของรุ่น E200 เงียบกว่ารุ่น E100 อย่างมาก ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง คอนโซลมีจอ LED แสดงผลอัจฉริยะ ระบบกระจกไฟฟ้ามาพร้อมกล้องหน้ารถที่มีมาตั้งแต่การผลิตจากโรงงาน ประสิทธิภาพขับขี่สูงถึง 100-120กิโลเมตรต่อชั่วโมงจากศักยภาพของมอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 40 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 110 นิวตัน-เมตร ขณะที่ชุดพักแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 22 กิโลวัตต์ชั่วโมง ชาร์จไฟเต็มหนึ่งครั้งรถวิ่งได้ระยะทางสูงสุด 270 กิโลเมตรตามการทดสอบภายในของ Baojun แต่ถ้าทดสอบตามมาตรฐานยุโรป NEDC จะวิ่งได้ระยะทาง 210 ก.ม.
ที่มา : หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 12 กรกฎาคม 2562
หากคุณหลงใหลในรถพลังงานไฟฟ้า วันนี้ ฐานยานยนต์ ขอนำเสนอ EVจากประเทศจีน (Baojun E200) ซึ่งเป็น ทริปที่คณะสื่อไทยได้รับเชิญจาก เจเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ประเทศไทย ให้ไปเยี่ยมชมอุตสาหกรรมรถยนต์แบบครบวงจรของ SGMW กรุ๊ป (SIAC Motor+GM+Wuling Motors) หนึ่งในทริปคือการชมสายพานการผลิตและทดลองขับรถพลังงานไฟฟ้าแบบ “ไมโครคาร์” Baojun E200 รถยนต์ 2ที่นั่ง ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในเมืองหลิ่วโจว ถือเป็นไมเนอร์เชนจ์จากรถยนต์ที่ผลิตออกมารุ่นก่อนหน้า Baojun E100 พื้นฐานของ Baojun E200 อัพเกรดจาก Baojun E100 ตัวรถมีการปรับปรุงหน้าตาใหม่รอบคันให้ดูทันสมัย เริ่มจากการมีแต่ไฟหน้า ไม่มีไฟตัดหมอก ปรับดีไซน์ไฟเลี้ยว เปลี่ยนตำแหน่งเกียร์จากกลางห้องโดยสารมา ไว้บนคอนโซลหน้ารถ มีแค่เกียร์ P, D, และN อีกทั้งยังเงียบเมื่อสตาร์ท เนื่องจากมอเตอร์ของรุ่น E200 เงียบกว่ารุ่น E100 อย่างมาก ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง คอนโซลมีจอ LED แสดงผลอัจฉริยะ ระบบกระจกไฟฟ้ามาพร้อมกล้องหน้ารถที่มีมาตั้งแต่การผลิตจากโรงงาน ประสิทธิภาพขับขี่สูงถึง 100-120กิโลเมตรต่อชั่วโมงจากศักยภาพของมอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 40 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 110 นิวตัน-เมตร ขณะที่ชุดพักแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 22 กิโลวัตต์ชั่วโมง ชาร์จไฟเต็มหนึ่งครั้งรถวิ่งได้ระยะทางสูงสุด 270 กิโลเมตรตามการทดสอบภายในของ Baojun แต่ถ้าทดสอบตามมาตรฐานยุโรป NEDC จะวิ่งได้ระยะทาง 210 ก.ม.
ที่มา : หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 12 กรกฎาคม 2562
Sales at BYD Co., China’s largest electrified vehicle manufacturer, recovered in June on demand for EVs and plug-in hybrids after a 10 percent decline the previous month. Last month, the company’s sales rose 3.1 percent to 38,735 as strong demand for EVs more than compensated for weak deliveries of gasoline-powered vehicles.BYD’s combined sales of EVs and plug-in hybrids surged 55 percent to 26,571. By contrast, deliveries of gasoline-powered models plunged 41 percent to 12,164. BYD has stopped expanding its traditional vehicle lineup to focus on developing new EVs. In the first half, BYD’s accumulative sales edged up 1.6 percent to 228,072. Aggregated first-half sales of EVs and plug-in hybrids soared 95 percent to 145,653 while deliveries of gasoline vehicles shrank 45 percent to 82,419. BYD, based in the south China city of Shenzhen, is partly owned by U.S. billionaire Warren Buffett. It is listed in Hong Kong and Shenzhen.The company in June opened an electric bus assembly plant in Ontario, Canada. It is BYD’s second bus manufacturing site in North America, after a factory in Lancaster, Calif.
BYD ยอดขายดีขึ้นจากรถยนต์ไฟฟ้า
บริษัท BYD ผู้ผลิตรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของจีน มียอดขายที่ฟื้นตัวขึ้นในเดือนมิถุนายนจากความต้องการ HEV และ PHEV หลังจากที่ลดลง 10% ในเดือนก่อนหน้า โดยในช่วงครึ่งปีแรกยอดขายสะสมของ BYD เพิ่มขึ้น 1.6% เป็น 228,072 คัน ในขณะที่ยอดขายรวมของ EV และ PHEV เพิ่มขึ้น 95% เป็น 145,653 คัน ในทางตรงกันข้ามยอดขายของรถยนต์เบนซินลดลง 45% เป็น 82,419 คัน BYD จึงได้หยุดขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์เดิม (รถยนต์เบนซิน) เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ (รถยนต์ไฟฟ้า) BYD ตั้งอยู่ในเมืองเซินเจิ้นทางตอนใต้ของจีนโดยมี วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีของสหรัฐเป็นหุ้นส่วน โดยในเดือนมิถุนายนจะมีการเปิดโรงงานประกอบรถบัสไฟฟ้า ในเมืองออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา ซึ่งเป็นโรงงานผลิตรถบัสแห่งที่ 2 ของ BYD ในอเมริกาเหนือ โดยโรงงานแห่งแรกตั้งอยู่ในเมืองแลงคาสเตอร์ รัฐแคลิฟอร์เนีย
ที่มา: Automotive News China
มีคนบางกลุ่มต้องการจะรักษาโลกไว้ แม่ตัวเองจะไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว ในเมืองออสโล (Oslo) บริษัทบริการจัดงานศพได้นำเสนอทริปเที่ยวเดียวสู่โลกหลังความตายในรถยนต์ไฟฟ้าขนส่งศพ โดยรถยนต์ไฟฟ้าคันดังกล่าวจะขับไปตามท้งถนนในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย “ในนอร์เวย์มีผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก และยังมีบางกลุ่มที่มีความหวังว่าจะได้เห็นโลกกลับมาเป็นสีเขียวอีกครั้ง” อ๊อด บอร์การ์ โจลสตัด (Odd Borgar Jolstad) กล่าวพร้อมสาธิตรถยนต์เทสลาที่ผ่านการดัดแปลงให้เป็นรถยนต์สำหรับขนส่ง ในอนุสรณ์สถาน เกรฟเซ่น (Grefsen) อันเงียบสงบที่สามารถมองเห็นเมืองหลวงได้ “นี่คือความร่วมมือเพียงเล็กน้อยของเรา ที่มีต่อสิ่งแวดล้อม” ในนอร์เวย์ ไม่ว่าจะรวยหรือจน หนุ่มหรือแก่ อาศัยในเมืองหรือชนบท รวมทั้งมงกุฎราชกุมารแห่งนอร์เวย์ ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องย้ายมาอยู่ในรถยนต์ไฟฟ้าคันดังกล่าว ตัวเลือกหนึ่งที่จะทำให้เมืองกลายเป็นสีเขียวคือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือขับเคลื่อนด้วยพลังงานน้ำ จากราคาที่สามารถเอื้อมถึงได้อย่างนิสสัน ลีฟ (Nissan LEAF) หรือแบรนด์หรูอย่างเทสลา (Tesla) กว่าครึ่งของรถยนต์ใหม่ที่ขายในประเทศเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาล้วนแต่เป็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าซึ่งมียอดจำหน่ายมากกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน โดยนอร์เวย์มีแผนที่จะลดมลภาวะให้เหลือศูนย์ภายในปี 2025 เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย นอร์เวย์จะต้องสร้างการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มจุดชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ทั้งระหว่างทางด่วน ในพื้นที่ชนบท รวมถึงที่จอดรถส่วนบุคคล
ที่มา : หนังสือพิมพ์ Bangkok Post ฉบับวันที่ 11 กรกฎาคม 2562BMW's X6 is getting redesigned for 2020 with beefier engines and, for the first time, an optional illuminated kidney grille.The 2020 X6 will start at $65,295, including shipping, and arrive at U.S. dealerships in November.The X6 was an early coupelike crossover and remains one of the most visible. It also underscores the continuing fragmentation of the crossover market.BMW foresaw the "growth-inspired fragmentation" of the crossover market when it introduced the X6 in 2008, AutoPacific analyst Ed Kim said."It seemed a very puzzling move during a time when the formula for a successful SUV was pretty clear: an upright two-box profile and an outdoorsy personality," Kim said.The X6 is a niche midsize crossover that competes in the same segment as the Lexus RX, Audi Q5 and Cadillac XT5."It is simply an X5 with a different top hat," Kim said. "There are enough customers to justify the modest investment, especially as SUV market share continues to grow with increasing room for a body style variety."X6 sales in the U.S. fell 67 percent from a year earlier to 170 vehicles in June and dropped 18 percent to 3,045 vehicles through June, BMW said in a statement on Tuesday. Bigger and beefierThe third-generation X6 is longer and wider than its predecessor, but with a lower height for better aerodynamics.The illuminated kidney grille, which debuts on the redesigned X6, is part of the daytime running light feature and can remain on while the vehicle is in motion. The feature can be activated by unlocking and locking the vehicle or turning it on and off manually.The crossover is available with two engines.The X6 sDrive40i and xDrive40i are powered by the latest versions of BMW's TwinPower 3.0-liter turbo inline six-cylinder engine. The engine produces 335 hp, an increase of 33 hp over the previous model. The rear-wheel-drive X6 sDrive40i accelerates from 0 to 60 mph in 5.2 seconds,while the all-wheel-drive X6 xDrive40i does the sprint in 5.3 seconds.The sportier X6 M50i is powered by a new 4.4-liter TwinPower turbocharged V-8 that delivers 523 hp, an increase of 78 hp from the prior model. The M50i accelerates from a standstill to 60 mph in 4.1 sec
เรื่อง : ในปีพ.ศ.2563 บริษัท BMW จะสร้างเครื่องยนต์ที่ทรงพลังมากขึ้นบน BMW X6
BMW X6 ได้รับการออกแบบใหม่ในปีพ. ศ. 2563ด้วยเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและเป็นครั้งแรกที่กระจังหน้าที่ส่องสว่างเป็นตัวเลือก2020 X6 จะเริ่มต้นที่ $ 65,295 รวมถึงการจัดส่งและมาถึงตัวแทนจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายน X6 เป็นรถครอสโอเวอร์แบบโคเดอเรลลิคยุคต้นและยังคงเป็นหนึ่งในรถที่มองเห็นได้มากที่สุด นอกจากนี้ยังตอกย้ำถึงการกระจายตัวของตลาดครอสโอเวอร์อย่างต่อเนื่อง BMW เล็งเห็นถึง "การกระจายตัวที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการเติบโต" ของตลาดครอสโอเวอร์เมื่อเปิดตัว X6 ในปี 2551 นักวิเคราะห์ของ AutoPacific กล่าวว่า“ ดูเหมือนว่ามันจะทำให้สับสนมากในช่วงเวลาที่เปิดตัวสำหรับ SUV ที่ประสบความสำเร็จนั้นค่อนข้างชัดเจน:” Kim กล่าว X6 เป็นครอสโอเวอร์ขนาดกลางแบบเฉพาะที่แข่งขันในส่วนเดียวกันกับ Lexus RX, Audi Q5 และ Cadillac XT5“ มันเป็นเพียง X5 ที่มีหมวกทรงสูงแตกต่างกัน” คิมกล่าว "มีลูกค้ามากพอที่จะแสดงให้เห็นถึงการลงทุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อส่วนแบ่งตลาดเอสยูวียังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยเพิ่มพื้นที่สำหรับความหลากหลายของสไตล์รูปทรง" จำหน่าย X6 ในสหรัฐลดลงร้อยละ 67 จากปีก่อนหน้าถึง 170 คันในเดือนมิถุนายนและลดลงร้อยละ 18 บริษัท BMW กล่าวในการแถลงข่าวในวันอังคาร โดย X6 รุ่นที่สามนั้นยาวกว่าและกว้างกว่ารุ่นก่อน แต่มีความสูงต่ำกว่าสำหรับอากาศพลศาสตร์ที่ดีกว่า ไฟกระจังหน้าที่ส่องสว่างซึ่งเปิดตัวใน X6 ที่ออกแบบใหม่เป็นส่วนหนึ่งของคุณสมบัติแสงกลางวันที่ใช้งานได้และยังคงสามารถทำงานได้ในขณะที่ยานพาหนะกำลังเคลื่อนที่ คุณสมบัตินี้สามารถเปิดใช้งานได้โดยปลดล็อคและล็อคยานพาหนะหรือเปิดและปิดด้วยตนเองครอสโอเวอร์สามารถใช้ได้กับสองเครื่องยนต์X6 sDrive40i และ xDrive40i ใช้พลังงานจากเครื่องยนต์ TwinPower เทอร์โบ 3.0 ลิตรแบบอินไลน์หกสูบรุ่นล่าสุดของ BMW เครื่องยนต์ผลิต 335 แรงม้าเพิ่มขึ้น 33 แรงม้าจากรุ่นก่อนหน้า X6 sDrive40i ขับเคลื่อนล้อหลังเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 60 ไมล์ต่อชั่วโมงใน 5.2 วินาทีในขณะที่ X6 -Drive40i ขับเคลื่อนล้อทุกล้อวิ่งได้ในเวลา 5.3 วินาทีSportier X6 M50i ขับเคลื่อนโดย TwinPower เทอร์โบชาร์จ V-8 ขนาด 4.4 ลิตรใหม่ที่ให้ 523 แรงม้าเพิ่มขึ้น 78 แรงม้าจากรุ่นก่อนหน้า M50i เร่งความเร็วจากหยุดนิ่งเป็น 60 ไมล์ต่อชั่วโมงใน 4.1 วินาที
ที่มา : Automotive News ฉบับวันที่ 9 กรกฎาคม 2562