หลายค่ายรถยนต์จากจีนกำลังจับตามองตลาดยุโรปด้วยความสนใจ โดยปัจจุบัน รถยนต์ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์จีนที่มีการจำหน่ายในยุโรป เพื่อตอบสนองทิศทางของตลาดที่เริ่มก้าวไปสู่ยานยนต์ไร้มลพิษ (ZEV) มากขึ้น แม้ว่าการนำเข้ารถยนต์จะเป็นประเด็นทางการเมืองในสหภาพยุโรปอยู่ก็ตาม
โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่นได้ประกาศในวันที่ 7 ม.ค. 2567 ว่า โตโยต้าจะกลับมาเดินสายการผลิตรถยนต์ในญี่ปุ่นตามแผนการเดิมสำหรับปีนี้ในวันจันทร์ที่ 8 ม.ค. 2567
โดยคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติของจีน (NDRC) ออกมาเรียกร้องให้มีการสร้างมาตรฐานทางด้านเทคนิคเบื้องต้นที่เกี่ยวข้องกับการบูรณาการยานยนต์พลังงานใหม่เข้ากับโครงข่ายไฟฟ้าภายในปีค.ศ. 2025 เนื่องจาก
วินฟาสต์ (VinFast) ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของเวียดนามเตรียมเปิดโรงงานผลิตแห่งแรกในอินเดีย ซึ่งจะผลิตแบตเตอรี่สำหรับ EV ในรัฐทมิฬนาดูทางตอนใต้ของอินเดีย โดยเสริมว่าเป็นการแยกจากแผนการสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ที่จัดส่งเป็นชิ้นส่วนจากเวียดนาม
การทดสอบแบตเตอรี่บนรถไฟฟ้าแบบ Solid-State ในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือกันระหว่างค่ายรถยนต์ Volkswagen กับผู้ผลิตแบตเตอรี่ QuantumScape มีการใช้ไฟฟ้าแล้วชาร์จใหม่รวมกว่า 1,000 Cycles
โดยผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลก อาทิ โตโยต้า จากัวร์ แลนด์โรเวอร์ และนิสสัน ต่างพยายามเรียกร้องให้ สหราชอาณาจักร ลดหรือชะลอกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไร้มลพิษ (ZEV) ที่จะทำให้เกิดข้อจำกัดทางด้านการขายหรือการเผชิญกับภาษีอากรอย่างหนัก
บีวายดีจะจ่ายเงิน 666 หยวน (93.17 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อยอดขายรถยนต์หนึ่งคันให้กับตัวแทนจำหน่าย หากสามารถบรรลุเป้าหมายการขายในปีพ.ศ. 2566 ซึ่งหมายเลข 666 ถือเป็นตัวเลขมงคลในประเทศจีน เนื่องจากออกเสียงคล้ายกับคำว่า “เจ๋ง” หรือ “น่าทึ่ง”
จากรายงานของ New York Times ระบุว่าในช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา รถยนต์ไฟฟ้าจีนส่งออกมากขึ้นกว่า 851% ซึ่งทำให้แบรนด์อย่าง BYD สามารถสร้างยอดขายรถ xEV ได้แซงหน้า Tesla เป็นครั้งแรก แต่สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ
หลังจากยอดขายที่พุ่งสูงขึ้นในปี พ.ศ. 2566 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ในปีนี้ คาดว่าแนวโน้มยอดขายจะชะลอตัวลง เนื่องจากผู้บริโภคนั้นจะต้องเผชิญกับอัตราดอกเบี้ย และราคายานยนต์ใหม่ที่จะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น