สมัครสมาชิกวันนี้

  • Silver
  • สมาชิกระดับ Silver
  • ฟรี
  • สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารขั้นพื้นฐานได้
  • ข้อมูลผู้ประกอบการต่างประเทศ
  • ข้อมูลสถิติในประเทศและต่างประเทศ
  • มาตรการทางการค้าระหว่างประเทศ
  • กฎ ระเบียบ นโยบายในประเทศ
  • เทคโนโลยี และงานวิจัย
  • สมัครสมาชิก
ข่าวสารยานยนต์
อ่านข่าวสารล่าสุด

ค้นหาข้อมูล

ความเคลื่อนไหวในอุตสาหกรรม

             หลังหายใจหายคอโล่งไปได้พักใหญ่ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกก็กลับเข้าสู่ความหวาดหวั่นอีกครั้ง จากรายงานข่าวว่า กระทรวงพานิชย์สหรัฐได้ส่งมอบรายงานผลการศึกษาเรื่องภาษีรถยนต์ ให้ประธานอธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อพิจารณาว่าจะขึ้นภาษีรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์นำเข้าจากต่างชาติหรือไม่ การศึกษาดังกล่าวดำเนินการตามมาตรา 232 เพื่อสืบหาว่ารถยนต์และชิ้นส่วนนำเข้าจากต่างชาติเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐหรือไม่ คล้ายคลึงกับกรณีการสอบสวนการเก็บภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมนำเข้าจากต่างชาติก่อนหน้านี้ ทรัมป์มีเวลาอีก 90 วัน ในการตัดสินใจว่า จะประกาศขึ้นภาษีดังกล่าวตามรายงานของกระทรวงพานิชย์หรือทรัมป์จะประกาศตั้งภาษีรถยนต์นำเข้าที่อัตรา 20-25% หลังข่มขู่จะเก็บภาษีดังกล่าวมาโดยตลอดและล่าสุดทรัมป์ยังเปิดเผยว่า การตั้งภาษีช่วยปกป้องภาคอุตสาหกรรมของประเทศ และทำให้สหรัฐได้เปรียบในการทำข้อตกลงการค้ากับชาติอื่นๆ ความเป็นไปได้สูงที่สหรัฐจะประกาศตั้งภาษีนำเข้ารภต่างชาติ จึงเป็นฝันร้ายที่หากเกิดขึ้นจริง จะยิ่งซ้ำให้ภาคยานยนต์โลกบอบช้ำยิ่งขึ้นไปอีก หลังสหรัฐเก็บภาษีเหล็กและอะลูมอเนียมนำเข้าจากต่างชาติไปแล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งทำให้ค่ายรถต้องแบกต้นทุนการผลิตเพิ่ม โดยชาติที่ได้รับกระทบมากที่สุดคงหนีไม่พ้นเยอรมนี และญี่ปุ่น ขณะที่สหรัฐเองก็มีแนวโน้มเจ็บหนักไม่แพ้กัน

ที่มา : หนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2562

                  หนุนลดภาษีรถยนต์ไฟฟ้าเหลือแค่ 2%  กรมสรรพสามิต เตรียมเสนอมาตรการภาษีลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 ให้คลัง ก่อนเสนอ ครม. พร้อมทั้งลดภาษีรถไฟฟ้าหรืออีวีเหลือ 2% ขณะที่จัดเก็บรายได้เดือน มกราคม กว่า 5.4 หมื่นล้านบาท เกินเป้า กลุ่มสุรา ยาสูบ เบียร์ เครื่องดื่ม และรถยนต์ขายดี นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพาสามิต เปิดเผยว่าอำ 1-2 สัปดาห์ จะเสนอมาตรการทางภาษีสรรพสามิต เพื่อลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาก่อนเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป โดยเองต้นหากผู้ประกอบการรถยนต์รายใดติดตั้งอุปกรณ์ที่ลดค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กจากโรงงานผลิตให้ได้เท่ากับมาตรฐานยูโร 5 ที่ปล่อ่ยค่าฝุ่นละออง 0.005 มิลลิกรัม จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ลดลง ซึ่งไม่เป็ฯทางการบังคับให้ทุกรายต้องติดตั้งเครื่องดังกล่าว นอกจากนี้ ยังประสานกระทรวงอุตสาหกรรมสนับสนุนดีเซลลดค่าฝุ่นละอองให้ได้เทียบเท่ามาตรฐานยูโร 5 เร็วขึ้น จากกำหนดการเดิมบังคับให้รถยนต์ที่จะผลิตออกมาใหมในอีก 3 ปีข้างหน้า ต้องเป็นไปตามมาตรฐานยูโร 5 ทั้งนี้กรมสรรพสามิตจะดำเนินตามนโยบายรัฐบาลในการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าหรืออีวี ด้วยการลดอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ไฟฟ้าเหลือ 2% และยกเว้นภาษ๊นำเข้ากรณีบริษัทผู้ผลิตเข้ารับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จากปัจจุบันจัดเก็บอัตรา 8% โดยกรมฯ จะขอสงวนสิทธิ์ให้ผู้ประกอบการทที่ได้รับสิทธิประโยชน์ดังกล่าว หากพบว่าไม่สามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้ตามกำหนดกับบีโอไอ กรมฯ จะเรียกคืนภาษีจากบริษัทที่เคยได้รับส่วนลดไปก่อนหน้านี้ทั้งหมด เพื่อเป็นการจูงใจให้บริษัทเร่งผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ตามเป้า ขณะที่การจัดเก็บรายได้เดือนมกราคม 2562 เป็นเดือนแรกที่กรมฯ จัดเก็บภาษีได้ 54,056 ล้านบาท เกินกว่าเป้าหมายที่คาดไว้ 78 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.15% จากสินตชค้าในกลุ่มสุรา ยาสูบ เบียร์ เครื่องดื่ม และรถยนต์ขายดี สำหรับเดือนมกราคมที่ผ่านมายอดจัดเก็บภาษีกลุ่มรถยนต์เพิ่มขึ้น 14% สุราเพิ่มขึ้น 3% เบียร์เพิ่มขึ้น 9% ยาสูบเพิ่มขึ้น 18% ทั้งนี้การจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นสะท้อนถึงประชาชนเชื่อมั่นเศรษฐกิจมากขึ้น คาดว่ายอดการจัดเก็บภาษีกลุ่มนี้จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมนี้ เนื่องจากใกล้วันเลือกตั้งยิ่งกระตุ้นในเกิดการซื้อสินค้ากลุ่มนี้ไปบริโภคมากขึ้น ส่วนสินค้าที่จัดเก็บภาษีลดลง คือ น้ำมันติดลบร้อยละ 2 เป็นผลมาจากราคาน้ำมันโลกที่ผันผวน ส่วนผลการจัดเก็บรายได้สะสม 4 เดือนแรกปีงบประมาณ 2562 (ต.ค. 2561 – ม.ค. 2562 ) เก็บได้ 185,400 ล้านบาท ยังต่ำกว่าเป้าหมายตามเอกสารงบประมาณ 5% หรือต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท เพราะยอดจัดเก็บ 3 เดือนแรกต่ำกว่าเป้า แต่มั่นใจว่าขะสามารถจัดเก็บรายได้ตามเป้าหมายของกระทรวงการคลังที่ 584,000 ล้ายบาทแน่นอน แต่กรมสรรพสามิตจะมุ่งจัดเก็บรายได้ตามเป้าของกรมฯ ที่ 622,000 ล้านบาท

ที่มา : หนังสือพิมพ์ ข่าวหุ้น ฉบับวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562

                 นายณัฐพล  รังสิตพล ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กระทรวงอตสาหกรรม กล่าวถึงความคืบหน้าบริษัทรถยนต์ 9 ราย ได้แก่ โตโยต้า , บีเอ็มดับเบิ้ลยู , จีเอ็ม , อิซูซุ , มาสด้า , เมอร์เซเดส-เบนซ์ , มิตซูบิชิ , เอ็มจี , ซูซิกิ ตอบรับกำหนดเวลาบังคับใช้มาตรฐานมลพิษระดับยูโร 5 ในรถยนต์ใหม่ทุกรุ่น ภายในปี 2564 เพื่อจะช่วยลดปัญหามลพิษฝุ่นว่า ในวันประชุมหารือมีค่ายรถยนต์เข้าร่วมทั้งหมด12 ค่าย ตอบรับ 9 ค่าย มี 3 ค่ายไม่ปฎิเสธ แต่ขอไปหารือกับบริษัทแม่ ศึกษาเทคโนโลยีก่อน คือ ฮอนด้า ฟอร์ด และนิสสัน ดังนั้น สศอ. จะติดตามว่าทั้ง 3 ค่ายจะตอบรับเร็วๆนี้หรือไม่ หากตอบรับก็สามารถเข้าร่วมแถลงความร่วมมือกับอีก 9 ค่ายได้เลย หลังจากที่อุตสาหกรรม และ 9 ค่ายรถยนต์น่าจะมีการแถลงข่าวถึงความร่วมมือดังกล่าวอย่างเป็นทางการอีกครั้งภายในเดือน กุมภาพันธ์นี้ นายณัฐพลกล่าวว่า หลังจากนี้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) จะเร่งกำหนดมาตรฐานบังคับเครื่องยนต์ยูโร 5 ทั้งเบนซินและดีเซล คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี รองรับค่ายรถที่ผลิตรถยนต์ใหม่มาตรฐานยูโร 5 อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าเรื่องนี้ไทยมีความล่าช้าทั้งภาครัฐและเอกชน เพราะเดิมไทยกำหนดกรอบเวลา ใช้มาตรฐานยูโร 5 ทั้งรถยนต์และน้ำมันตามหลังสหภาพยุโรป (ยูอี) 2 ปี ซึ่งที่ผ่านมาอียูเริ่มยูโร 5 ตั้งแต่ปี 2562 และไทยควรเริ่มปี 2554 แต่ไทยกลับเริ่มยูโร 4 เมื่อปี 2555 เป็นคามล่าช้าที่ทุกฝ่ายควรร่วมมือกันแก้ไข

ที่มา : หนังสือพิมพ์ มติชน (ตจว.) ฉบับวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562

                กลุ่มบริษัท มาสเตอร์ กรุ๊ป คอรปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด หรือ เอ็มจีซี-เอเชีย เป็นกลุ่มธุรกิจของคนไทย ที่มีความหลากหลาย ทั้งการเป็นผู้นำเข้ารถยนต์ ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ตลาดมือสอง รถเช่า ศูนย์บริการรถยนต์ ประกันภัย ไอที ฝึกอบรม รวมไปถึงธุรกิจเรือยอชต์ ซึ่งที่ผ่านมา เอ็มจีซี-เอเชีย ขยายงานมาโดยตลอด และต้นปีนี้ก็จะขยับตัวอีกครั้งด้วยการประกาศว่าจะขับเคลื่อนเข้าสู่ยุค “ดิจิทัล 5.0” ก้าวเข้าสู่การเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกรถยนต์ พร้อมบริการครบวงจร สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบอกว่าปี 2561 ที่ผ่านมากลุ่มมีรายได้รวม 2.5 หมื่นล้านบาทเติบโตกว่า 15% โดยกลุ่มธุรกิจรถใหม่เติบโต 20% กลุ่มธุรกิจการบริการหลังการขาย เติบโต 9% รถเช่าเติบโตใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาและธุรกิจประกันภัยโตกว่า 30%  ส่วนการกำหนดวิสัยทัศน์ ดิจิทัล 5.0 เพราะเห็นว่าในช่วงกว่า 5 ปีที่ผ่านมาหลายธุรกิจเกิดการเปลี่ยนแปลง จากผลกระทบของดิจิทัล ดิสรัปชั่น และกลุ่มมองว่านี้เป็นโอกาสครั้งสำคัญที่องค์กรจะมีการเปลี่ยนแปลง

ที่มา : หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562

                นายกฯ ยกระดับแก้ฝุ่นเป็นวาระแห่งชาติ จี้ทุกส่วนร่วมแก้ปัญหา กำชับงดเผาในที่โล่ง “บิ๊กป้อม” สั่งเฝ้าระวังต่อเนื่องจนกว่าจะปกติ สศอ. หารือ 9 ค่ายรถยนต์ ขานรับ เร่งยกระดับมาตรฐานยูโร 5 ตั้งเป้าผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ทุกคันภายในปี 2564 ลดการปล่อยฝุ่นพิษ 80%  การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (12 ก.พ.) ได้ยกระดับการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองเกินมาตรฐาน โดยกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ หลังจากการประขุม ครม. เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เห็นแผนการแก้ปัญหาในระยะสั่น – ยาว  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐบาล  กล่าวหลังการประชุม ครม. ว่า สถานการณ์ฝุ่นละอองในกรุงเทพฯ ดีขึ้น แต่การแก้ไขปัญหาต้องทำต่อไปซึ่งมติ ครม. ให้การกำจัดฝุ่นละออง PM2.5 และ PM10 เป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งมีหลายหน่วยงาน เกี่ยวข้องเพื่อให้จัดการปัญหา ฝุ่นละอองย่างยั่งยืน

ที่มา : หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2562

                 ตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในไทยมีแนวโน้มเติบโตขึ้นไปอีกระดับ หลังค่ายรถรายใหญ่เกือบทุกรายที่มีการผลิตรถยนต์ในประเทศได้ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนประกอบรถยนต์ไฟฟ้าจาก คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเป็นที่เรียบร้อยก่อนครบกำหนดไปปเมื่อสิ้นปี 2561 และในปีนี้เราจะได้เห็นถึงทิศทางการลงทุนที่สำคัญและจะเกิดขึ้นอย่างชัดเจน คือ กิจกรรมการผลิตแบตเตอรี่ โดยเฉพาะ เพื่อรองรับติ่ความต้องการใช้ของรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตขึ้นในประเทศไทย โดยศูนย์ข้อมูลจากกสิกรไทยพบว่า อุตสาหกรรมการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าเกิดขึ้นตามการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งนี้ระยะเริ่มต้น ของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยนั้น จากแนวโน้มการขอรับการส่งเสริมการลงทุนของค่ายรถยนต์จะเห็นได้ว่า ทิศทางการลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในยุคไทยมุ่งเน้นไปยัง 2 กลุ่ม ได้แก่ รถยนต์ไฮบริด (Hybrid electric vehicle : HEV) และรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in hybrid electric vehicle : RHEV ) โดยบางส่วนได้เริ่มมีการลงทุนประกอบรถยนต์ไปบ้างแล้วตั้งแต่ปี 2561 ขณะที่การลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (Battery electric vehicle :BEV ) ในไทยค่ายรถต่างมองว่าอาจต้องใช้ระยะเวลาอีกระยะ เมื่อโครงข่ายสถานีชาร์จไฟฟ้ามีความพร้อมมากขึ้น แต่ก็น่าจะไม่นานเกินไปกว่าปี 2564 ตามเงื่อนไขบีโอไอที่กำหนดให้ต้องมีการผลิตรถยนต์ขึ้นจริงในประเทศภายใน 3 ปี หลังจากได้รับอนุมัติส่งเสริม

ที่มา : หนังสือพิมพ์ สยามธุรกิจ ฉบับวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2562

              นายสเตฟาน ดอร์สกี กรรมการผู้จัดการบริษัท สแกนเนีย สยาม จำกัด แดเผยว่า สแกนเนียพร้อมสนับสนุนให้ไทย ดำเนินการเปลี่ยนมาใช้เชื้อเพลิงทางเลือก เพื่อช่วยลดการปล่อยมลพิษโดยที่ผ่านมาสแกนเนียได้ลงทุนพัฒนาโซลูชั่นรองรับการใช้พลังงานเลือกและเชื่อเพลิงทดแทน เน ไบโอดีเซลและก๊าซชีวภาพ ขณะที่รถบรรทุกสแกนเนียสามารถปรับใช้ไบโอดีเซลได้ 100% และเป็นที่หน้ายินดีว่าความต้องการใช้น้ำมันดีเซล B20 ในไทยเพิ่มสูงขึ้น ทำให้มั่นใจว่าสแกนกเนียสามารถช่วยลดการปล่อยมลพิษได้ สำหรับในปี 2561 สแกนเนียมียอดขายรถบรรทุกและรถหัวลาก 506 คัน ส่วนปี 2562 ตั้งเป้ายอดขาย 700 คันขึ้นไป โดยวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2562 จะเปิดตัวรถบรรทุกทุกรุ่นใหม่ที่สุดดิโอปาร์ค จังหวัด สมุทรปราการ

ที่มา : หนังสือพิมพ์ แนวหน้า ฉบับวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2562

                 ผลจากการพัฒนาประเทศผ่านอุตสาหกรรมอย่างก้าวกระโดด ทำให้จีนเป็นหนึ่งในชาติแรกๆ ที่ประสบปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะมลพิษทางอากาศ ประเด็นที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในประเทศไทยเวลานี้ การแก้ไขปัญหามลพิษของจีนนั้น นอกจากการออกนโยบายเชิงรุกอย่างเข้มงวด เช่น การไล่ปิดโรงไฟฟ้าถ่านหิน การจำกัดจำนวนรถยนต์ที่วิ่งในเขตเมือง หรือแม้กระทั่งการสร้างอาคารกรองอากาศขนาดยักษ์แล้ว หนึ่งนโยบายสำคัญซึ่งเป็นที่น่าศึกษาก็คือ การสนับสนุนการผลิตและการใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจัง ด้วยความที่จีนเองเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานพาหนะขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า (อีวี) โดยในปีนี้รถยนต์อีวีทำยอดขายำด้มากถึง 1 ล้านคันเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อเสียเปรียบของรถยนต์ไฟฟ้า ที่ยังมีราคาสูงเมื่อเทียบกับรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยการสันดาปภายใน (ไอซีอี) หรือรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน รัฐบาลจีนจึงมีนโยบายอุดหนุนทั้งฝั่งของผู้ผลิตรถยนต์อย่างจริงจังนับตั้งแต่รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกออกวางตลาดเมื่อกว่า 10 ปีก่อน ผลจากแรงจูงใจในการผลิตที่เห็นได้ชัดเจน เดิกขึ้นในอุตสาหกรรมผลิตรถบัสไฟฟ้าของจีนเองโดยสามารถกระตุ้น การผลิตเพิ่มขึ้นจากในปี 2011 ที่ 1000 คัน ให้มีจำนวนมากถึง 132,000 คันในปี 2016

ที่มา : หนังสือพิมพ์  มติชนสุดสัปดาห์  ฉบับวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562

                โตโยต้าทำกำไรในช่วงไตรมาตรสามเพิ่มขึ้น 0.4% ยอดขายในเอเชียซึ่งรวมถึงจีนยังคงเพิ่มขึ้น ช่วยชดเชยยอดขายที่ลดลงในอเมริกาเหนือได้ ในทางกลับกัน สงครามการค้าทำกำไรไตรมาตรสี่ของเมอร์เซเดส - เบนซ์ ร่วงถึง 22% แม้ว่ายังคงเป็นแบรนด์รถหรูที่มียอดขายมากที่สุดในปีที่ผ่านมา บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ แถลงเมื่อวันพุธว่ากำไรจากการดำเนินงานในช่วงไตรมาสสามเพิ่มขึ้น 0.4% เป็น 676,100 ล้านเยน หรือ 6,160 ล้านดอลลาร์ จาก 673,640 ล้านเยนในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจากยอดขายในเอเซียซึ่งรวมถึงจีนยังคงเพิ่มขึ้น จึงช่วยชดเชยยอดขายในอเมิกาเหนือ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่สุดของบริษัทได้ ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์ 10 คนที่เรฟินิทีฟได้รวบรวมประมาณการมา คาดการณ์โดยเฉลี่ยว่าโตโยต้าจะมีกำไร 680,840 ล้านเยน  โตโยต้าได้ลดปราณการกำไรสุทธิของปีนี้ทั้งปี เหลือ 1.87 ล้านล้านเยน จากเดิมประมาณการไว้ 2.3 ล้านล้านเยน แต่ได้คงประมาณการกำไรจากการดำเนินงานทั้งปีไว้ที่ 2.4 ล้านล้านเยนเช่นเดิม ในทางกลับกัน บริษัทเดมเลอร์ เอจี เจ้าของแบรนด์รถยนต์เมอร์เซเดส- เบนซ์ แถลงว่า กำไรจากการดำเนินการในช่วงไตรมาสสี่ลดลงถึง 22% เนื่องจากสงครามการค้าและการลงทุนในการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับและรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จึงส่งผลกระทบต่อกำไรของรถยนต์เมอร์เซเดส – เบนซ์ กำไรก่อนหักภาษีและดอกเบี้ย (EBIT) ลดลงเหลือ 2.670 ล้านยูโร หรือ 3,040 ล้านดอลลาร์ ในช่วงไตรมาสสี่ ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ซึ่งอยู่ที่ 2,920 ล้านยูโรมาก เมอร์เซเดส – เบนซ์ แถลงว่าว่าการขึ้นภาษีรถยนต์นำเข้าจากสหรัฐที่ส่งไปยังจีนและการหยุดส่งมอบรถยนต์ดีเซล ส่งผลกระทบต่อดีมานด์ และส่งกระทบให้ราคารถยนต์ดีเซลต่ำลง ผลตอบแทนจากยอดขายรถยนต์เมอร์เซเดส – เบนซ์ ลดลงเหลือ 7.3% ในช่วงไตรมาสสี่ จาก 9.5% ในช่วงปีก่อนหน้า สำหรับปี 2562 บริษัทคาดการณ์ว่ายอดขาย รายได้กำไรก่อนหักภาษี และดอกเบี้ย จะโตเล็กน้อยโดยคาดว่าผลตอบแทนจากยอดขายรถเก๋งเมอร์เซเดส – เบนซ์ จะอยู่ระหว่าง 6-8% ในขณะที่ผลตอบแทนยอดขายของรถแวนเมอร์เซเดส – เบนซ์อยู่ระหว่าง 5-7% ดีเตอร์ เซตเตอ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเดมเลอร์ กล่าวว่า ประมาณการยอดขายรถยนต์และรถแวน เมอร์เซเดส – เบนซ์ ต่ำกว่าเป้าหมายในระยะยาว บริษัทไม่สามารถพอใจกับการประมาณการนี้ได้ และตั้งเป้าที่จะทำให้มีกำไรระหว่าง 8-10% ภายในปี 2564 อย่างไรก็ดี เมอร์เซเดส – เบนซ์ยังคงเป็นแบรนด์รถยนต์หรูที่มียอดขายมากสุดในปีที่ผ่านมา โดยยอดขายมากสุดในปีที่ผ่านมา โดยยอดขายรถยนต์ใหม่อยู่ที่ 2.31 ล้านคัน ตามาด้วยบีเอ็มดับเบิ้ลยูมียอดขาย 2.12 ล้านคัน และออดี้มียอดขายรถยนต์ใหม่ 1.81 ล้านคันในปีที่ผ่านมา

ที่มา : หนังสือพิมพ์ ข่าวหุ้น ฉบับวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2562

ศูนย์สารสนเทศยานยนต์

ติดต่อ ศูนย์สารสนเทศยานยนต์ สถาบันยานยนต์

อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา (สพข.) ซ.ตรีมิตร กล้วยน้ำไท ถ.พระรามที่ 4 แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110
โทรศัพท์: 0-2712-2414 ต่อ 6443
email : aiu@thaiauto.or.th