โตโยต้าประเมินตลาดรวมรถยนต์ปีนี้ 1 ล้านคันติดลบ 3.8% เหตุมาตรการกระตุ้นยอดขายลดความร้อนแรงหวั่นปัจจัยลบอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ไฟแนนซ์เข้ม สงครามการค้าจีน-สหรัฐบานปลายเร่งแผนผลิตแบตเตอรี่ไฮบริดเดือน พ.ค. พร้อมศึกษาความพร้อมโครงการลงทุนปลั๊กอินไฮบริด – อีวี ต่อเนื่อง บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แถลงสถานการณ์ตลาดรถยนต์โดยระบุว่าปี 2561 ที่ผ่านมา ตลาดยอดขายมากกว่า ล้านคันเป็นครั้งที่ 3 ในประวัติศาสตร์โดยทำได้ 1.039 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 19.2 % จากปีก่อนหน้า โดยสิ่งที่สนับสนุนการเติบโตมาจากหลายปัจจัย ทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ผลักดันให้ จีดีพี เติบโต 4.2 % จากการประเมินของธนาคารปห่งประเทศไทย ณ วันที่ 2 มกราคม ปีนี้และผลมาจากที่บริษัทรถยนต์มีมาตรการส่งเสริมการขายจำนวนมากผ่านทางแคมเปญที่หลากหลายโดยเฉพาะเงื่อนไขทางการเงิน ทั้งการดาวน์ต่ำ ผ่อนชำระยาวนาน และอัตราดอกเบี้ยต่ำ รวมถึงกิจกรรมการตลาดอื่นๆและการมีสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาดตลอดทั้งปี ประเมินตลาดรถยนต์ปีนี้ 1 ล้านคัน นายมิจิโนบุ ซึงาตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า เมื่อแบ่งเป็นประเภท พบว่ารถยนต์นั่งมียอดขายรวม 3.97 แสนคัน เพิ่มขึ้น 14.8% รถเพื่อการพานิชย์ (รวมรถปิกอัพ) 6.41 แสนคัน เพิ่มขึ้น 22.1% และปิกอัพ 4.47 แสนคัน เพิ่มขึ้น 22.6% ส่วนแนวโน้มตลาดปีนี้ประเมินว่าใกล้เคียงกับปีที่แล้ว โดยติดลบเล็กน้อย 3.8% ด้วยยอดขาย 1 ล้านคัน โดยรถยนต์นั่งคาดว่าทำได้ 3.84 แสนคัน ลดลง 3.2% รถเพื่อการพานิชย์ (รวมปิกอัพ) 6.15 แสนคัน ลดลง 4.1% และรถปิกอัพ 4.3 แสนคัน ลดลง 3.7% การประเมินว่าตลาด 1 ล้านคันซึ่งเป็นระดับที่สูง เพราะเห็นว่าการลงทุนภาครัฐบาลมีความชัดเจนและต่อเนื่อง ซึ่งมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นการลงทุนจากภาคเอกชน รวมถึงการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ แต่การที่มองว่าติดลบเล็กน้อยเนื่องจากยอดขายในปีที่ผ่านมามีการเติบโตสูงจากแรงกระตุ้นด้านต่างๆจำนวนมาก แต่ปีนี้ความร้อนแรงเหล่านั้นอาจจะลดลง การประเมินดังกล่าวคำนึงถึงปัจจัยลบที่อาจจะเกิดขึ้นรวมเอาไว้แล้ว แต่ถ้าทุกอย่างดี ก็มีความเป็นไปได้ที่ยอดขายจะศุงกว่า 1 ล้านคัน เหมือนกับที่ปี 2561 ที่ช่วงต้นปี โตโยต้าประเมินไว้แค่ 9 แสนคันเท่านั้น แต่เมื่อสิ้นปี ก็พบว่าตลาดขยายตัวเกินกว่าที่คาดไว้
ที่มา : หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 23 มกราคม 2562
อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยมีการพัฒนาและเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยมีมูลค่าถึง 5.8% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ทั้งจากนโยบายการค้าระหว่างประเทศ ตลอดจนแนวโน้มเทคโนโลยีแต่จุดยืนที่ไม่เคยเปลี่ยนคือ การส่งเสริมการผลิตและใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศเพื่อให้เกิดการจ้างงาน เกิดการถ่ายถอดเทคโนโลยีรวมถึงการสนับสนุนผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมหรืออุตสาหกรรมสนับสนุน (Supporting Industry ) นี่คือภารกิจหลักที่กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาวอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยยึดถือมาโดยตลอด เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเปิดรับทุกเทคโนโลยีจากทุกภูมิภาคเรายังต้องเรียนรู้เทคโนโลยีจากต่างประเทศที่หลากหลายเหล่านั้น รัฐบาลและภาคอุตสาหกรรมมีความเห็นตรงกันว่า ควรเปิดโอกาสให้มีการถ่ายถอดเทคโนโลยีต่างๆเข้ามาในประเทศในรูปแบบอื่น เพื่อให้เกิดการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (R&D) เพื่อขีดความสามารถในการแข่งขันและต่อยอดการเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกในประเทศไทยแม้ไม่มีรถยนต์แห่งชาติก็ตาม จึงเป็นที่มาของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นแผนยุทธศาสตร์ภายใต้ไทยแลนด์ 4.0 โดยมีแผนพัฒนา 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายประกอบด้วย 5 อุตสาหกรรมเดิม ที่มีศักยภาพ (First S-Curve) และ 5 อุตสาหกรรมในอนาคต (New-S-Curve) และหนึ่งข้อสำคัญที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ก็คือ The Next Generation Automotive Industry หรืออุตสาหกรรมยานยนต์สมันใหม่ ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัฃญในการพัฒนาต่อยอดไปเป็น New S-Curve หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรมนั้นเอง โดยภาพรวมขณะนี้อุตสาหกรรมรถยนต์ของไทยมีความพร้อมมาก และมองเห็นว่า EEC เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงและมีความเหมาะสมหลายด้าน อาทิ เป็นที่ตั้งของผู้ผลิตชิ้นส่วนที่สำคัญอละอุตสาหกรรมสนับานุนต่างๆจำนวนมาก รวมถึงศักยภาพด้านโลจิสติกส์ เช่น ท่าเรือน้ำลึกที่สามารถขนส่งรถยนต์หรือชิ้นส่วนต่างๆในปริมาณมากได้ รวมไปถึงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (Automatic and Tyre Testing Research and Innovation Center – ATTRIC ) ของสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (สมอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม ณ บริเวณเขตสวนป่าลาดกระทิง อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นศูนย์ทดสอบกลาง ให้บริการทดสอบและรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ ยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และยางล้อตามาตรฐานสากล อีกทั้งช่วยสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาชิ้นส่วนสำคัญของรถยนต์ สมัยใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่มา : หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 22 มกราคม 2562
รัฐบาลฝรั่งเศสให้แจ้งกับญี่ปุ่นว่า จะหาทางทำให้เกิดการรวบกิจการกันระหว่าง เรโนลต์ – นิสสัน ภายหลัง คาร์ลาส โกส์น อดีตประธานนิสสันถูกแดนอาทิตย์อุทัยจับกุมอย่างสุดช็อค รายงานข่าวของสื่อญี่ปุ่นหลายรายที่ระบุในวันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม 2562 โกส์นซึ่งเป็นผู้นำที่มีชื่อเสียงที่โด่งดังคนหนึ่งในวงการอุตสาหกรรมรถยนต์ของโลก เคยเป็นหัวหน้าของกลุ่มพันธมิตระหว่าง เรโนลต์ แห่งฝรั่งเศสและนิสสันกับมิตซูบิชิ แห่งญี่ปุ่น ก่อนที่เค้าจะถูกจับกุมอย่างกระทันหันขณะกลับมาถึงท่าอากาศยานกรุงโตเกียวในเดือนพฤศจิกายน ด้วยข้อหามีความประพฤติมิชอบทางการเงิน เวลานี้เค้ายังคงถูกคุมขังอยู่ โดยทีทั้งบอร์ดของนิสสันและมิตชูบิชิต่างมีมติปลดโกส์นออกจากตำแหน่งประธาน ขณะที่เรโนลต์ยังคงให้เค้าอยู่ในตำแหน่งประธานและซีอีโอของตนต่อไปเพียงแต่ตั้งผู้รักษาการแทน สำนักข่าวโตเกียวในประเทศญีปุ่น รายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวหลายรายที่ใกล้ชิดกับเรื่องนี้ว่า คณะผู้แทนของฝ่ายฝรั่งเศส ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ มาร์แตง เวียล กรรมการบริหารคนหนึงของบริษัท เรโนลต์ ที่ทางรัฐบาลฝรั่งเศสเป็นผู้ส่งชื่อเข้าไป ได้เสนอการควบรวมดังกล่าวในระหว่างการเจรจากับพวกเจ้าหน้าที่ฝ่ายญี่ปุ่นในกรุงโตเกียว ในโครงสร้างผู้ถือหุ้นของเรโนลต์ รัฐบาลฝั่งเศสคือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดโดยถือครองในสัดส่วนมากกว่า 15% ขณะเดียวกันเรโนลต์ก็เป็นเจ้าของหุ้นนิสสันอยู่ 43.4% ดดยเป็นหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงด้วย เกียวโดบอกว่า การควบรวมกิจการระหว่างเรโนลต์กับนิสสันนี้ ทางประธานาธิบดีเอมมานูแอล มาครอง ของฝรั่งเศส ก็ได้แสดงความชื่นชอบ ทางด้าน นิกเกอิ หนังสือพิมพ์ธุรกิจทรงอิทธิพลของญี่ปุ่น ได้รายงานข่าวขณะผู้แทนฝรั่งเศสเสนอเรื่องการควบรวมนี้เช่นกัน ดดยระบุด้วยว่านิสสันคัดค้านเรื่อยมาต่อการที่จะให้ฝ่ายฝรั่งเศสมีอำนาจในการกำหนดทิศทางของอนาคตเหนือนิสสัน บริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นซึ่งปัจจุบันทำยอดขายได้สูงกว่าเรโนลต์มาก ตามข่าวนิกเกอิ คณะผู้แทนแดนน้ำหอมยังบอกด้วยว่า เรโนลต์ต้องการที่จะเสนอชื่อแต่งตั้งประธานคนใหม่ของนิสสัน ซึ่งตอนนี้ยังคงว่างอยู่หลังจากการปลดโกส์น มีรายงานว่า เมื่อเดือนที่แล้ว มาครงได้เจรจาหารือกับนายกรัฐมลตรีชินโอ อาแบะ ของญี่ปุ่น ในการประชุมข้างเคียงของซับมิตกลุ่ม จี 20 ที่กรุงบัวโนสไอเรส เมืองหลวงของอาเจนตืนา โดยที่ผู้นำทั้งสองเห็นพ้องกันเพียงแค่รับประกันให้ภายในกลุ่มพันธมิตร เรโนลต์-นิสสัน-มิตซูบิชิ ยังคงความสัมพันธ์ที่มีความเสถีนรภาพ
ที่มา : หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันที่ 21 มกราคม 2562