นายณัฐพล รังสิตพล ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่าการส่งออกรถยนต์ของไทย เริ่มต้องจับตา เนื่งจากลดลงต่อเนื่อง 3 ปีติด ตั้งแต่ปี 59 ติดลบ 1.5% ปี 60 ติดลบ 4.11% ปี 61 ติดลบ 0.08% ส่วนปี 62 ภาคเอกชนประเมินว่า จะติดลบ 3.56% ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากผู้ประกอบการค่ารถยนต์ ที่มีการย้ายฐานการผลิตบางสินค้าออกไปในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งในประเทศเวียดนาม และอินโดนีเซียแล้ว อาจจะมาจากข้อเจรจาในประเทศไทยที่ยังไม่ม่ความชัดเจน และสินค้าไทยไม่สอดคล้องกับตลาด ขณะที่ตลาดรถยนต์ในประเทศมีการขยายตัวที่ดีต่อเนื่องในปี 61 ขยายตัว 0.79% ทำให้ภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยจะพึ่งพาตลาดในประเทศมากขึ้น “ภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์มีการผลิตเพื่อใช้ในประเทศมากขึ้น ทำให้การส่งออกลดลงต่อเนื่องมาเป็นเวลา 3 ปีแล้วและประเมินว่าในปีนี้จะลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 มาจากผลิตภัณฑ์รถยนต์ของไทยไม่สอดคล้องกับตลาดในต่างประเทศ ซึ่งเราต้องมีมาตรการในเรื่องนี้ออกมา เพราะประเทศไทยมีจุดยืน เป็นฐานการผลิตรถยนต์ของโลก” ส่วนภาพรวมดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม หรือเอ็มพีไอ ทั้งปี 61 ขยายตัว 2.8% ถือว่า อยู่ในกรอบที่วางไว้ทั้งปี จะขยายตัว 2.5-3% ส่วนเดือนธันวาคม่ 61 ขยายตัว 0.75% มีปัจจัยบวกจากภาคอุตสาหกรรมที่ขยายตัว ทั้ง รถยนต์ น้ำตาลทราย ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และแผ่นวงจร โซดาและน้ำดื่มบรรจุขวด กระเป๋าเดินทางและกระเป๋าถือ ส่วนอุตาหกรรมที่ดัชนีลดลง คือ ยางรถยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าในส่วนของเครื่องซักผ้า สำหรับในปี 62 คาดว่า ดัชนีเอ็มพีไอ จะขยายตัว 2-3% โดยเดือน มกราคมนี้ มีปัจจัยที่มีผลกระทบต่อภาพรวมดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ทั้งผลกระทบต่อเนื่องจากสงครามการค้าจีน-สหรัฐ โดยทั้ง 2 ประเทศกำลังอยู่ระหว่างเจรจาเป็นเวลา 90 วัน จนถึงเดือนมีนาคม นี้ ซึ่งต้องหารือในหลายด้าน สถานการณ์คุณภาพอากาศและฝุ่นละออง ที่เริ่มมีผลกะทบมากขึ้น
ที่มา : หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์ (บ่าย) ฉบับวันที่ 31 มกราคม 2562
นายณัฐพล รังสิตพล ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (เอ็มพีไอ) ประจำเดือนธันวาคม 2561 อยู่ที่ 112.54 ขยายตัวต่อเนื่องที่ 0.75% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ระดับ 111.70 โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ที่การผลิตขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เอ็มพีไอปี 2561 อยู่ที่ 115.08 ขยายตัว 2.80% ขยายตัวเพิ่มจากปี 2560 อยู่ที่ระดับ 111.94 ที่ขยายตัว 2.50% ส่วนอัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนธันวาคมอยู่ที่ 66.88% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 67.77% และเทียบกับเดือนก่อนหน้าอยู่ที่ 69.31% ซ่งอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 68.4% จากปี 2560 อยู่ที่ 67.12% ภาพรวมภาคอุตสาหกรรมที่ขยายตัว เนื่องจากอุตสาหกรรมรถยนต์ขยายตัว 9.65% น้ำตาลทรายขยายตัว 30.46% ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และแผงวงจรขยายตัว 6.96% โซดาและน้ำดื่มบรรจุขวดขยายตัว 14.43% กระเป๋าเดินทางและกระเป๋าถือขยายตัว 189.74% ที่เร่งผลิตและส่งมอบช่วงเทศกาลปีใหม่จากคำสั่งซื้อของตลาดในประเทศเป็นหลักที่เพิ่มขึ้น 685.59% แม้ยอดขายรถยนต์เดือนธันวาคม 2561 ที่ 113.581 คัน สูงสุดในรอบ 5 ปี นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2557 แต่เป็นที่น่าสังเกตุว่า เอกชนคาดการณ์ยอดขายในปี 2562 ยอดส่งออกรถยนต์ลดลง ขณะที่ยอกจำหน่ายในประเทศเพิ่มสูงขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงมาตรฐานรถยนต์ของไทยไม่สอดคล้องกับมาตรฐานรถยนต์ของต่างประเทศหรือไม่ เนื่องจากแนวโน้มการใช้รถยนต์ทั่วโลก มีทิศทางเปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยี ที่พัฒนาไปสู่การเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นายณัฐพลกล่าวว่า อาจจะมีผลกระทบต่อเป้าหมายที่ไทยจะเป็นฐานการผลิตรถยนต์ของโลก อีกทั้งล่าสุด สินค้าที่โดดเด่น (โปรดักส์ แชมป์เปี้ยน) ได้ย้ายไปอยู่ที่ประเทศมาเลเซียและเวียดนามแล้ว ไทยจึงต้องพิจารณาว่าสินค้าที่ส่งออกลดลง เป็นไปตามความต้องการของตลาดโลกหรือไม่ อย่างไรก็ตาม สศอ.ยังคงคาดการณ์ เอ็มพีไอปี 2562 อยู่ที่ 2-3% ผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) อุตสาหกรรมคาดอยู่ที่ 2-3%
ที่มา : หนังสือพิมพ์ ข่าวสด ฉบับวันที่ 30 มกราคม 2562
ก.ล.ต.สหรัฐเปิดฉากสอบนิสสัน กรณีความถูกต้องของค่าตอบแทนผู้บริหารระดับสูง บลูมเบิร์ก รายงานอ้างว่าแหล่งข่าวว่า คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (เอสอีซี) กำลังสอบสวนบริษัท นิสสัน มอเตอร์ ค่ายรถใหญ่อันดับ 2 ของญี่ปุ่น เกี่ยวกับการจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารระดับสูงในสหรัฐ ว่าเข้าข่ายละเมิดกฎหมายหลักทรัพย์ของสหรัฐหรือไม่หลังเกิดเรื่องอื้อฉาวจากกรณี คาร์ลอส กอส์น อดีตประธานนิสสัน ถูกจับกุมตัวเนื่องจากประพฤติผิดร้ายแรงด้านการเงิน แหล่งข่าวระบุว่า เอสอีซีกำลังสอบสวนนิสสันใน 2 กรณี คือเปิดเผยค่าตอบแทนที่นิสสันจ่ายให้ผู้บริหารมีความถูกต้องหรือไม่ และบริษัทมีมาตรการควบคุมเพื่อป้องกันการจ่ายเงินที่ไม่ถูกต้องดังกล่าวหือไม่ โดยขณะนี้การสอบสวนดังกล่าวยังอยู่ในขั้นต้นเท่านั้น ด้าน คริสตินา อดัมสกี โฒษกของนิสสัน ได้ออกม่ยืนยันว่า นิสสันกำลังถูกสอบสวนจากเอสอีซีจริง และบริษัทก็ได้ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ซึ่งหลังข่าวนี้ได้เผยแพร่ออกไป หุ้นของนิสสันได้ร่วงลงมากถึง 2.7% ระหว่างการซื้อขายวานนี้ นับเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบ 3 สัปดาห์ ทั้งนี้หุ้นนิสสันซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐผ่านใบรับฝากหุ้นที่ออกดดยสถาบันการเงินในสหรัฐ (เอดีอาร์) ทำให้เอสอีซีมีอำนาจเข้าไปตรวจสอบได้ แม้กรณีของนิสสันส่วนใหญ่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นและยุโรป แต่แหล่งข่าวเกี่ยวข้องเปิดเผยว่าเอสอีซีอาจสามารถลงโทษทางการเงินและมีคำสั่งห้ามมิให้ละเมิดกฎหมายของสหรัฐหรือกฎของเอสอีซีได้
ที่มา : หนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ 29 มกราคม 2562