เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า จากสภาพจราจรที่ติดขัดภายในกรุงเทพฯ เป็นสาเหตุทำให้เกิดสภาวะมลพิษทางอากาศ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของฝุ่นควันพิษที่เกิดจากรถยนต์ หรือฝุ่นที่เกิดจากการก่อสร้างต่างๆ จำพวกรถไฟฟ้า ทางด่วน ทางเท้า ฯลฯ ฝุ่นควันพิษที่เกิดขึ้นทำให้ผู้ที่เดินทางโดยอาศัยรถประจำทาง ต้องสูดดมควันพิษเข้าไปจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทำให้หลายต่อหลายคนหันไปซื้อรถยนต์ส่วนบุคคลมาใช้กันเพิ่มมากขึ้น โดยหวังว่าจะอำนวยความสะดวก ไม่ต้องไปเบียดเสียด แออัดและหลบเลี่ยงสภาพอากาศที่เป็นพิษตามท้องถนน
แต่ดูเหมือนว่าการหลบเลี่ยงสภาพอากาศพิษจากการนั่งรถเมล์ มาใช้รถยนต์ส่วนตัวนั้น ไม่ใช่วิธีขจัดปัญหาในเรื่องของสุขภาพให้หมดไปได้
ตัวที่ไม่ได้ใส่ใจ หรือหมั่นทำความสะอาดภายในรถยนต์ ปล่อยให้อากาศหมักหมม ไม่ถ่ายเทก็ย่อมเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคได้เช่นกัน เชื้อโรคต่างๆ นี้อาจจะมาจากความชื้นที่เกิดจากเหงื่อ ของเจ้าของรถเองหรือของผู้อื่นที่อาศัยรถไปด้วย
ความเปียกชื้นและความสกปรกจากน้ำหรือเหงื่อที่ติดมากับเสื้อผ้า รองเท้า เหล่านี้เมื่อเหยียบพรมหรือน้ำหยดลงบนพื้นเบาะ เป็นเหตุให้เกิดการขยายพันธุ์ของเชื้อราและเชื้อโรคอื่นๆ ยิ่งถ้ามีผู้โดยสารที่เป็นเด็กหรือผู้ที่มีภูมิต้านทานน้อยด้วยแล้ว ย่อมมีโอกาสติดเชื้อโรคเพิ่มมากขึ้นครั้งใดที่มีการเหยียบพื้นพรม พื้นเบาะเหล่านี้เชื้อโรคและเชื้อรา จะลอยฟุ้งกระจายอยู่ตามอากาศภายในรถ ก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจ โรคปอด
สำหรับวิธีง่ายๆ ในการหลีกเลี่ยงเชื้อโรคที่เกิดขึ้นภายในรถดังกล่าว ผู้ที่ใช้รถควรดูแลรักษาความสะอาดรถอยู่เป็นประจำ พยายามอย่าให้น้ำหยดหรือหกลงบนพรมและเบาะรถ แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ควรที่จะเปิดกระจกรถทิ้งไว้สักครึ่งชั่วโมง ทั้งนี้เพื่อให้ภายในรถได้มีอากาศถ่ายเทไม่เป็นที่หมักหมมของเชื้อโรค และถ้าต้องการให้มีความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น ก็ควรหาสเปรย์ปรับอากาศชนิดกำจัดเชื้อโรคมาฉีด
จะเห็นได้ว่าอันตรายที่เกิดขึ้นจากยานพาหนะนั้น มีอยู่ทุกหนทุกแห่งไม่ว่าจะเกิดจากทั้งในหรือนอกตัวรถ ดังนั้นผู้ที่สัญจรไปมา หรือผู้ที่ต้องใช้รถใช้ถนนเป็นประจำ ควรดูแลรักษาสุขภาพอนามัยของตัวเองให้ดีที่สุด.
ขอขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์