ก.ล.ต.สหรัฐเปิดฉากสอบนิสสัน กรณีความถูกต้องของค่าตอบแทนผู้บริหารระดับสูง บลูมเบิร์ก รายงานอ้างว่าแหล่งข่าวว่า คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (เอสอีซี) กำลังสอบสวนบริษัท นิสสัน มอเตอร์ ค่ายรถใหญ่อันดับ 2 ของญี่ปุ่น เกี่ยวกับการจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารระดับสูงในสหรัฐ ว่าเข้าข่ายละเมิดกฎหมายหลักทรัพย์ของสหรัฐหรือไม่หลังเกิดเรื่องอื้อฉาวจากกรณี คาร์ลอส กอส์น อดีตประธานนิสสัน ถูกจับกุมตัวเนื่องจากประพฤติผิดร้ายแรงด้านการเงิน แหล่งข่าวระบุว่า เอสอีซีกำลังสอบสวนนิสสันใน 2 กรณี คือเปิดเผยค่าตอบแทนที่นิสสันจ่ายให้ผู้บริหารมีความถูกต้องหรือไม่ และบริษัทมีมาตรการควบคุมเพื่อป้องกันการจ่ายเงินที่ไม่ถูกต้องดังกล่าวหือไม่ โดยขณะนี้การสอบสวนดังกล่าวยังอยู่ในขั้นต้นเท่านั้น ด้าน คริสตินา อดัมสกี โฒษกของนิสสัน ได้ออกม่ยืนยันว่า นิสสันกำลังถูกสอบสวนจากเอสอีซีจริง และบริษัทก็ได้ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ซึ่งหลังข่าวนี้ได้เผยแพร่ออกไป หุ้นของนิสสันได้ร่วงลงมากถึง 2.7% ระหว่างการซื้อขายวานนี้ นับเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบ 3 สัปดาห์ ทั้งนี้หุ้นนิสสันซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐผ่านใบรับฝากหุ้นที่ออกดดยสถาบันการเงินในสหรัฐ (เอดีอาร์) ทำให้เอสอีซีมีอำนาจเข้าไปตรวจสอบได้ แม้กรณีของนิสสันส่วนใหญ่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นและยุโรป แต่แหล่งข่าวเกี่ยวข้องเปิดเผยว่าเอสอีซีอาจสามารถลงโทษทางการเงินและมีคำสั่งห้ามมิให้ละเมิดกฎหมายของสหรัฐหรือกฎของเอสอีซีได้
ที่มา : หนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ 29 มกราคม 2562
ประเทศไทยถือว่ามีความสามารถก้าวหน้ากว่าประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียนสำหรับความจริงจังและการดำเนินการเพื่อให้เกิดการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจัง นี่คือคำยืนยันที่ชัดเจนของ นายวิเวก ไวทยะ ผู้อำนวยการกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ บริษัท ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน จำกัด ที่กล่าวในงานสัมมนาทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าปี 2562 จัดโดย บีเอ็มดับเบิ้ลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ย้ำให้เห็นถึงการขับเคลื่อนเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยและภาคเอกชน ที่มีความพยายามขับเคลื่อนเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้ไปในทิศทางเดียวกับกระแสอุตสาหกรรมยานยนต์โลก ยิ่งถ้ามองจากนโยบายและการขับเคลื่อนที่เป็นรูปธรรมแล้วในหลายๆประเทศอาเซียนนั้น เป็นการสร้างในเชิงของนโยบายมากกว่า แต่ขณะที่ประเทศประเทศไทยนั้นแอดวานซ์กว่าประเทศอื่นและเป็รอีกหนึ่งความท้าทายของประเทศไทย ทั้งนี้ เชื่อว่าอนาคตทิศทางของรถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากการคาดการณ์การขยายตัวของภาครัฐจะเห็นได้ชัดเจนว่าวันนี้แม้ยังคงมีความไม่สอดคล้องกันระหว่างสถานีชาร์จไฟและจำนวนของรถยนต์ไฟฟ้า แต่จากความตื่นตัวของค่ายรถยนต์ ภาคเอกชนที่ได้เริ่มมการลงทุนในส่วนของสถานีชาร์จ ไม่ว่าจะเป็นค่ายอีเอ เอนี่แวร์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ หรือบีเอ็มดับเดิลยู ฯลฯ ดังนั้นจึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการที่จะเพิ่มการลงทุนในส่วนนี้ เชื่อว่าความต้องการของตลาดรถยนต์เมืองไทยในปีพ.ศ. 2561 อยู่ที่ 1.050 ล้านคันแบ่งเป็นรถปิกอัพ 560,700 คัน รถยนต์ 489,300 คัน เป็นเป้าหมายภายใต้ปัจจัยบวกที่มีการเติบโตของจีดีพที่ระดับ 4.3% ภาคอุตสาหกรรมการส่งออกและการลงทุนของภาครัฐ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โครงสร้างรถยนต์ไฟฟ้าความเร็วสูง รวมทั้งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวน่าจะเป็นปัจจัยบวกที่ดี ตลาดโดนรวมมีทิศทางที่ดี แต่ทั้งนี้ก็ยังคงต้องจับตาภาวะหนี้เสียที่อาจเกิดขึ้นด้วย
ที่มา : หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 28 มกราคม 2562
นักวิชาการมั่นใจการเปลี่ยนเทคโนโลยีรถยนต์ไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า กระทบฐานการผลิตในไทยไม่มากเชื่อไทยยังคงเบอร์ 1 ในอาเซียน เผยนโยบายอีโคอีวีของรัฐบาลมาถูกทางช่วยให้รถยนต์ไฮบริดราคาถูกลง กระตุ้นลงทุนผลิตชิ้นส่วนสำคัญในไทย นายเกรียงไกร เตชกานนท์ อาจารย์ประจคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าวในงานสัมมนาวิชาการ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หัวข้อนวัตกรรมพลิกโลก แนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์และเปลี่ยนผ่านสู่ New S-Curve โดยระบุว่าทิศทางเทคโนโลยียานยนต์ที่จะก้าวไปเป็นยานยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริดที่ผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันและมอเตอร์ไฟฟ้า และชาร์ตไฟฟ้าได้ ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าจะไปในทิศทางใด การเข้ามาของเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า จะกระทบกับอุตสาหกรรมยานยนต์เดิมไม่มาก เพราะบริษัทยานยนต์ส่วนใหญ่ล้วนแต่มีเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าของตัวเองและได้เตรียมการสำหรับทิศทางเทคโนโลยีใหม่ๆ ไว้แล้ว แต่ค่ายเล็กที่ไม่ได้พัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าของตัวเอง อาจจะได้รับผลกระทบมากกว่า นอกจากนี้อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของตัวเอง อาจจะได้รับผลกระทบมากกว่า นอกจากนี้อุตสาหกรรมยานยนต์จำเป็นต้องใช้ส่วนประกอบจำนวนมาก แม้จะเป็นยานยนต์ไฟฟ้า ชิ้นส่วนบางประเภทอาจจะหายไป เช่น ชิ้นส่วนส่งกำลังเครื่องงยนต์ แต่ส่วนใหญ่ที่เป็นตัวถังยังคงไม่เปลี่ยนแปลง นอกจากราคาซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญแล้วรถยนต์ยังเป็นสินค้าที่ต้องมีการบำรุงรักษา ผู้จำหน่ายรถยนต์จำเป็นต้องสร้างศูนย์บริการที่ครอบคลุมเพียงพอในตลาดที่จำหน่ายจึงจะจำเป็นต้องสร้างศูนย์บริการที่ครอบคลุมเพียงพอในตลาดที่จำหน่ายจึงจะทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจในการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้ากลุ่มผู้ผลิตเดิมที่เป็นเจ้าตลาดได้มีการขยายเครือข่ายและลงทุนในศูนย์บริการไว้ค่อนข้างครอบคลุม ดังนั้นการเข้าตลาดของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหม่ยังนับว่ามีอุปสรรคอยู่พอสมควร
ที่มา : หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 25 มกราคม 2562