สมัครสมาชิกวันนี้

  • Silver
  • สมาชิกระดับ Silver
  • ฟรี
  • สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารขั้นพื้นฐานได้
  • ข้อมูลผู้ประกอบการต่างประเทศ
  • ข้อมูลสถิติในประเทศและต่างประเทศ
  • มาตรการทางการค้าระหว่างประเทศ
  • กฎ ระเบียบ นโยบายในประเทศ
  • เทคโนโลยี และงานวิจัย
  • สมัครสมาชิก

                 รัฐบาลฝรั่งเศสให้แจ้งกับญี่ปุ่นว่า จะหาทางทำให้เกิดการรวบกิจการกันระหว่าง เรโนลต์ – นิสสัน ภายหลัง คาร์ลาส โกส์น อดีตประธานนิสสันถูกแดนอาทิตย์อุทัยจับกุมอย่างสุดช็อค รายงานข่าวของสื่อญี่ปุ่นหลายรายที่ระบุในวันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม 2562  โกส์นซึ่งเป็นผู้นำที่มีชื่อเสียงที่โด่งดังคนหนึ่งในวงการอุตสาหกรรมรถยนต์ของโลก เคยเป็นหัวหน้าของกลุ่มพันธมิตระหว่าง เรโนลต์ แห่งฝรั่งเศสและนิสสันกับมิตซูบิชิ แห่งญี่ปุ่น ก่อนที่เค้าจะถูกจับกุมอย่างกระทันหันขณะกลับมาถึงท่าอากาศยานกรุงโตเกียวในเดือนพฤศจิกายน ด้วยข้อหามีความประพฤติมิชอบทางการเงิน เวลานี้เค้ายังคงถูกคุมขังอยู่ โดยทีทั้งบอร์ดของนิสสันและมิตชูบิชิต่างมีมติปลดโกส์นออกจากตำแหน่งประธาน ขณะที่เรโนลต์ยังคงให้เค้าอยู่ในตำแหน่งประธานและซีอีโอของตนต่อไปเพียงแต่ตั้งผู้รักษาการแทน สำนักข่าวโตเกียวในประเทศญีปุ่น รายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวหลายรายที่ใกล้ชิดกับเรื่องนี้ว่า คณะผู้แทนของฝ่ายฝรั่งเศส ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ มาร์แตง เวียล กรรมการบริหารคนหนึงของบริษัท เรโนลต์ ที่ทางรัฐบาลฝรั่งเศสเป็นผู้ส่งชื่อเข้าไป ได้เสนอการควบรวมดังกล่าวในระหว่างการเจรจากับพวกเจ้าหน้าที่ฝ่ายญี่ปุ่นในกรุงโตเกียว ในโครงสร้างผู้ถือหุ้นของเรโนลต์ รัฐบาลฝั่งเศสคือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดโดยถือครองในสัดส่วนมากกว่า 15% ขณะเดียวกันเรโนลต์ก็เป็นเจ้าของหุ้นนิสสันอยู่ 43.4% ดดยเป็นหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงด้วย เกียวโดบอกว่า การควบรวมกิจการระหว่างเรโนลต์กับนิสสันนี้ ทางประธานาธิบดีเอมมานูแอล มาครอง ของฝรั่งเศส ก็ได้แสดงความชื่นชอบ ทางด้าน นิกเกอิ หนังสือพิมพ์ธุรกิจทรงอิทธิพลของญี่ปุ่น ได้รายงานข่าวขณะผู้แทนฝรั่งเศสเสนอเรื่องการควบรวมนี้เช่นกัน ดดยระบุด้วยว่านิสสันคัดค้านเรื่อยมาต่อการที่จะให้ฝ่ายฝรั่งเศสมีอำนาจในการกำหนดทิศทางของอนาคตเหนือนิสสัน บริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นซึ่งปัจจุบันทำยอดขายได้สูงกว่าเรโนลต์มาก ตามข่าวนิกเกอิ คณะผู้แทนแดนน้ำหอมยังบอกด้วยว่า เรโนลต์ต้องการที่จะเสนอชื่อแต่งตั้งประธานคนใหม่ของนิสสัน ซึ่งตอนนี้ยังคงว่างอยู่หลังจากการปลดโกส์น มีรายงานว่า เมื่อเดือนที่แล้ว มาครงได้เจรจาหารือกับนายกรัฐมลตรีชินโอ อาแบะ ของญี่ปุ่น ในการประชุมข้างเคียงของซับมิตกลุ่ม จี 20 ที่กรุงบัวโนสไอเรส เมืองหลวงของอาเจนตืนา โดยที่ผู้นำทั้งสองเห็นพ้องกันเพียงแค่รับประกันให้ภายในกลุ่มพันธมิตร เรโนลต์-นิสสัน-มิตซูบิชิ ยังคงความสัมพันธ์ที่มีความเสถีนรภาพ

ที่มา : หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันที่ 21 มกราคม 2562

                     นิสสันรอบีโอไอเคาะส่งเสริมการลงทุน มั่นใจฐานผลิตไทยคุณภาพสูง ล่าสุดฉลองส่งออกครบ 1 ล้านคัน นายยูตากะ ชานาดะ รองประธานอาวุโสของนิสสันเอเซียและโอเชียเนีย เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีศักยภาพการผลิตรถยนต์ที่มคุณภาพระดับโลก และยังสามารถผลิตพร้อมทั้งส่งกลับไปยังประเทศญี่ปุ่นได้ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาให้ไทยเป็นฐานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) นอกญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก จากศักยภาพดังกล่าวที่มีของไทย โดยคาดว่าจะผลิตเพื่อรองรับตลาดในประเทศและรองรับการส่งออกในอนาคต “เราได้มีการพิจารณาจริงภายในบริษัท แต่ขณะนี้อาจจะยังไม่สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกได้ ซึ่งเร็วๆนี้จะมีคำตอบที่กระจ่างชัด” นายชานาดะกล่าว นอกจากนี้ในช่วงสิ้นปีพ.ศ. 2560 บริษัทได้ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนต่อสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในส่วนของเทคโนโลยีไฮบริด ซึ่งบริษัทจะมีการนำเสนอเทคโนโลยีไฮบริด ซึ่งบริษัทจะมีการนำเสนอเทคโนโลยีอี-เพาเวอร์ ลงสู่ตลาด  นายอันดวน บาร์เตส ประธานนิสสัน มอเตอร์ ประทศไทย กล่าวว่า การสิ้นสุดระยะเวลาขอรับส่งเสริมการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในส่วนของเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ในช่วงปลายปีพ.ศ. 2561 ที่ผ่านมานั้นบริษัทได้ทำงานร่วมกับบีโอไออย่างใกล้ชิด โดยขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ซึ่งจะต้องรอการประกาศจากบีโอไอในเร็วๆนี้ สำหรับเทคโนโลยีรถอีวีในต่างประเทศของนิสสัน มีเทคโนโลยีที่พร้อมนำเสนอสู่ตลาดในรถนต์ทุกประเภท ซึ่งบริษัทมองว่าเทคโนโลยี อี-เพาเวอร์เป็นเทคโนโลยีเชื่อมโยงระหว่างเครื่องยนต์สันดาปภายในกับรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ขณะที่การสนับสนุนของรัฐบาลเพื่อให้เทคโนโลยีรถอีวีเกิดขึ้นในไทยนั้น มีการส่งเสริมในภาคผู้ผลิตจากการส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอ แต่ในแง้ของผู้บริโภคนั้นยังไม่มีความชัดเจนเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว อาทิ ช่องทางพิเศษสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ที่จอดรถพิเศษ เป็นต้น นายบาร์เดส กล่าวว่า การสนับสนุนที่ส่งผลให้ตลาดอีวีเกิดขึ้นนั้นจะต้องประกอบไปด้วย 2 ส่วนคือ 1 ภาคผู้ผลิต และ 2. ภาคผู้บริโภค ซี่งไทยได้ส่งเสริมภาคผู้ผลิตแล้ว แต่ถ้าหากมีการส่งเสริมในภาคผู้บริโภคจะยิ่งสนับสนุนให้ตลาดตลาดเกิดขึ้นโดยเร็ว โดยอาจจะต้องทำทั้งสองส่วนควบคู่กันไป ด้านยอดขายปีงบประมาณ 2561 (มี.ค. 2561 – เม.ษ. 2562) ของบริษัทคาดว่าจะเติบโตเหนือการคาดการณ์เดิมที่จะมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 6.9% เพิ่มขึ้นเป็น 7.5% จากสภาพรวมตลาดเติบโตและความมั่นใจของผู้บริโภค รวมถึงสภาวะเศรษฐกิจเติบโต ทั้งนี้ ล่าสุดบริษัทได้จัดงานฉลองความสำเร็จในการผลิตรถยนต์เพื่อการส่งออกรถยนต์ครบ 1 ล้านคัน นับตั้งแต่เริ่มส่งออกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 โดยตลาดที่ส่งออกสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ตามลำดับ และในปีงบประมาณ  2561 บริษัทติดอันดับ 1 ใน 5 ของผู้ผลิตและส่งออกรถยนต์ของอุตสาหกรรม

ที่มา : หนังสือพิมพ์  โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ 18 มกราคม 2562

             “สมอ.”หนุนผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยตอบโจทย์อุตฯเป้าหมาย สนามทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ จ.ฉะเทริงเทรา เปิดดำเนินการไตรมาส 3 ปีนี้ช่วยไทยรักษาแชมป์ศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ในอาเซียน ก้าวพ้นผู้รับจ้างผลิตไปสู่ผู้วิจัยพัฒนาและออกแบบรถยนต์ด้านผู้ผลิตยางล้อเผย ช่วยลดต้นทุนทดสอบกว่า 30% หนุนเพิ่มใช้ยางในประเทศ นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเปิดเผยหลังเป็นประธานรับมอบใบรับรองสนามทดสอบยางล้อตามาตรฐาน UNR117 จาก Applus+ IDIADA ประเทศสเปน ว่าศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติได้รับใบรับรองสนามทดสอบมาตรฐาน UNR117 และผิวสนามทดสอบเสียง ตามมาตรฐาน ISO 10844 : 2014 ทำให้สนามทดสอบแห่งนี้ได้มาตรฐานสากล ทั้งนี้ ศูนย์ทดสอบยานยนต์ฯ เฟส 1 จะเปิดบริการในไตรมาส 3 ปีนี้ ซึ่งจะให้บริหารทดสอบยางล้อมาตรฐาน UN R117 ที่เป็นมาตรฐานบังคับในปลายปีนี้ จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมยางล้อของไทยให้สูงขึ้นมีความปลอดภัยขึ้นและทำให้ต้นทุนการวิจัยพัฒนายางล้อรุ่นใหม่ลดลง ส่วนในเฟสที่ 2 ก็จะก่อสร้างทันที่ และศูนย์ทดสอบยานยนต์แห่งนี้จะเสร็จสมบูรณ์ในปีพ.ศ. 2564 “ศูนยน์ทดสอบยานยนต์ฯแห่งนี้ จะเป็นสนามที่ได้รองรับมาตรฐานสากลแห่งแรกในอาเซียน จะช่วยดึงดูดการลงทุนด้านการวิจัยพัฒนาชิ้นส่วนยานยนต์ และยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ และยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ช่วยเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้แข็งแกร่ง และเป็นแหล่งลงทุนของทั้งผู้ประกอบการไทยและต่างชาติ” หนุนวิจัยชิ้นส่วนยานยนต์ นายสมชายกล่าวว่า 50 ปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยได้เติบโตตามแผนที่รัฐบาลวางไว้ จนในปัจจุบันไทยเป็นแหล่งผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ที่แข็งแร่งที่สุดในอาเซียน มีมูลค่าการส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ใกล้เคียงกับการส่งออกรถยนต์ทั้งคัน สิ่งนี้จะเป็นจุดแข็งของไทยในอนาคต ซึ่งการที่ไทยเป็นฐานการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ทั้งห่วงโซ่การผลิต จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมดึงดูดการวิจัย พัฒนาออกแบบและพัฒนายานยนต์แบบเข้ามาในไทยและศูนย์ทดสอบยานยนต์ฯแห่งนี้เป็นเครื่องจักรสำคัญที่ทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ ส่วนการบริหารจัดการศูนย์ทดสอบยานยนต์ฯ หลังจากการก่อสร้างเสร็จจะมอบมายให้สถาบันยานยนต์และบริษัทตรวจสอบรับรองมาตรฐานยานยนต์และล้อยาง ต่างประเทศ เข้ามาร่วมบริหารจัดการ เพราะบริษัทผู้เชี่ยวชาญต่างชาติมีมาตรฐานการทดสอบที่เป็นมาตรฐานสากล มีความเป็นกลางที่ทั่วโลกให้การยอมรับรวมทังภายในศูนย์ทดสอบยานยนต์ฯ ยังมีอาคารปฎิบัติการวิจัย ที่เปิดให้บริษัทผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ต่างๆ ก็จะเข้ามาตั้งศูนย์วิจัยในบริเวณนี้

ที่มา : หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 18 มกราคม 2562