สมัครสมาชิกวันนี้

  • Silver
  • สมาชิกระดับ Silver
  • ฟรี
  • สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารขั้นพื้นฐานได้
  • ข้อมูลผู้ประกอบการต่างประเทศ
  • ข้อมูลสถิติในประเทศและต่างประเทศ
  • มาตรการทางการค้าระหว่างประเทศ
  • กฎ ระเบียบ นโยบายในประเทศ
  • เทคโนโลยี และงานวิจัย
  • สมัครสมาชิก
Offline Page
Sample Maintenance Mode Page

       ยางรถยนต์ ใช้ลมเป็นตัวช่วยซึมซับแรงสั่นสะเทือน และช่วยให้ยางคงรูปอยู่ได้ ด้วยความทนทานของยางยุคใหม่ แรงดันลดลงช้า รั่วยาก ระเบิดยาก จึงทำให้หลายคนละเลยหรือไม่ได้หาความรู้เรื่อง “แรงดันลมยาง” มากนัก

 

 

       อ่าน แง่มุมที่น่าสนใจ หลายประเด็นอาจไม่เคยทราบกันมาก่อน และเกี่ยวข้องกับการใช้งานจริง ไม่เน้นวิชาการลึกล้ำจนยากจะเข้าใจ แต่มีหลักการอ้างอิงควบคู่กัน

 

       ยางไม่รั่วทำไมแรงดันลด
       ดูแล้วยางรถยนต์มีเนื้อหนาหลายมิลลิเมตร และมีโครงสร้างภายในเป็นวัสดุแข็งแรง ถ้าไม่รูรั่ว แรงดันลมยางก็ไม่น่าจะลดลงได้ง่าย ๆ

 

       ในความเป็นจริง เนื้อยางมีรูพรุนขนาดเล็กมาก ๆ อยู่เต็มไปหมด และขอบยางแบบไม่มียางในที่อัดอยู่กับขอบกระทะล้อ ก็อาจมีรูขนาดเล็กอยู่บ้าง แม้แช่น้ำดูแล้วไม่มีฟองอากาศแสดงถึงการรั่ว แต่แรงดันลมยางภายในยางที่สูงหลายเท่าของบรรยากาศปกติ ย่อมซึมออกมาได้บ้าง โดยเฉลี่ยแล้ว ถ้าแรงดันลมลดลงสัปดาห์ละ 1 ปอนด์/ตารางนิ้ว ถือเป็นเรื่องปกติ จึงไม่ต้องยุ่งยากวัดแรงดันลมยางทุกวัน ทำสัปดาห์ละครั้งหรือช้าที่สุด 2 สัปดาห์ต่อครั้ง ก็ได้

 

       อาจดูเหมือนไม่จำเป็น เพราะไม่ค่อยมีใครเติมลมเอง แต่จริง ๆ แล้วควรมีไว้ใช้ส่วนตัว เพราะคนส่วนใหญ่เติมลมตามปั๊มน้ำมัน ซึ่งมีบริการวัดแรงดันลมด้วย และมาตรวัดก็มักจะมีความเพี้ยน เพราะใช้วัดกันนับครั้งไม่ถ้วน บางครั้งพบว่าแสดงผลผิดพลาดกว่า 10 ปอนด์/ตารางนิ้วก็ยังมี จึงควรมีมาตรวัดแรงดันลมยางส่วนตัว และควรเลือกที่มีคุณภาพดี เพื่อความแม่นยำ ในราคาตัวละหลายร้อยบาท
หาก มีปั๊มที่เติมลมเป็นประจำ นาน ๆ ครั้งก็สามารถนำมาวัดเปรียบเทียบกันว่า มาตรวัดของเขาแสดงผลเพี้ยนแค่ไหน ครั้งต่อไปจะได้บอกให้เติมลมให้มีแรงดันตรงตามต้องการ หรือเติมลมตามปั๊มทั่วไป ซึ่งไม่ใช่ที่ประจำ ก็สามารถตรวจสอบแรงดันซ้ำได้อย่างสะดวก

 

       แรงดันลมยาง – ต้องเชื่อคู่มือประจำรถยนต์จริงหรือ

       คนส่วนใหญ่เชื่อว่า ค่าแรงดันลมยางที่ผู้ผลิตรถยนต์แนะนำในคู่มือหรือสติ๊กเกอร์บนตัวถัง มีความน่าเชื่อถือ และต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด โดยไม่สามารถประยุกต์เปลี่ยนไปใช้แรงดันต่างออกไปได้

 

       ถ้าเติมลมยางตามสเป็กนั้นก็ไม่อันตราย แต่อาจไม่ใช่แรงดันลมที่เหมาะสมที่สุดสำหรับยางรุ่นที่ใช้ตอนนั้นก็เป็นได้ เพราะผู้ผลิตรถยนต์ไม่ทราบเลยว่า หลังจากยางที่ให้มาจากโรงงานประกอบถูกใช้หมดสภาพ จะถูกเปลี่ยนเป็นยางรุ่นใด มีโครงสร้างอย่างไร แต่ก็ต้องแนะนำไว้ล่วงหน้าให้เสมือนคาเฉลี่ย ซึ่งอาจไม่ใช่ดีที่สุด แต่สามารถใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหา

 

       ตามหลักวิชาการที่ลึกกว่านั้น อาจมีค่าแรงดันลมยางซึ่งเหมาะสมกว่า และต่างจากคำแนะนำในคู่มือประจำรถ เพราะยางแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อ แม้เป็นขนาดเดียวกัน แต่ก็มีโครงสร้างภายใน และเนื้อยางที่แตกต่างกัน หรืออีกในกรณี ถ้าเปลี่ยนขนาดยางทั้งความกว้างหรือแก้มยางต่างออกไป ก็ยิ่งมีแนวโน้มว่า อาจไม่ต้องเติมลมยางตามกำหนดนั้นเสมอไป

 

       ในการใช้งานจริง เราสามารถเลือกเติมลมยางด้วยลมยางที่แตกต่างจากการแนะนำนั้นได้ โดยเริ่มจากการทำตามคำแนะนำก่อน ขับใช้งานเพื่อจับอาการต่าง ๆ เช่น ความนุ่มนวล การเกาะถนน อัตราเร่ง และอื่น ๆ สักวันสองวัน แล้วก็ลองลดแรงดันลมยางลงสัก 2 ปอนด์/ตารางนิ้ว ขับไปวันสองวันเพื่อเปรียบเทียบอาการกัน ต่อมาก็เพิ่มแรงดันขึ้นจากการแนะนำ 2 ปอนด์/ตารางนิ้ว และก็ทำเหมือนเดิม

 

       ต่อมาถ้ายังมีเวลา ก็เพิ่มหรือลดจากการแนะนำสัก 4-5 ปอนด์/ตารางนิ้ว แล้วจับอาการดูว่าอัตราเร่งอืดหรือไม่ กระเด้งกระด้างไปหรือไม่ ลื่นไปหรือไม่ แล้วค่อยตัดสินใจว่ายางชุดนั้น ควรเติมลมยางด้วยแรงดันเท่าไร เหมาะสมกับลักษณะการขับของตนเองหรือไม่ รถยนต์รุ่นเดียวกันยางรุ่นเดียวกัน แต่ต่างคนขับกัน ก็อาจจะใช้แรงดันลมยางที่ชอบต่างกันก็เป็นไปได้

 

       โดยทั่วไป หากมีการเติมลมต่างจากการแนะนำของผู้ผลิตรถยนต์ในคู่มือ หรือสติ๊กเกอร์ ก็พบว่าไม่น่าต่างเกิน + - 5 ปอนด์ / ตารางนิ้ว

 

       หากแรงดันลมยางอ่อนเกินไป เร่งแล้วจะหนืด อัตราเร่งไม่ดี เพราะยางจะย้วยจึงหมุนยาก แต่รู้สึกว่าเกาะถนน เพราะมีหน้าสัมผัสมากขึ้น ในระยะยาวยางจะอายุสั้น เพราะมีการขยับตัวมาก อาจบวมแตกปริบริเวณแก้มยางได้

 

       ถ้าแรงดันสูงหรือที่เรียกว่าแข็งมาก ยางจะหมุนง่าย เพราะหน้ายางและแก้มยางมีความตึง แต่จะลดการเกาะถนนลงไป เพราะหน้าสัมผัสมีแรงกดเต็มที่บริเวณแนวกลางของหน้ายางเท่านั้น และกระด้าง ในการแข่งขันประหยัดน้ำมัน จึงมักเติมลมยางแข็งกว่าปกติถึง 10-30 ปอนด์/ตารางนิ้ว

 

       เมื่อตัดสินใจใช้แรงดันใด ๆ สักเดือน ให้ดูการสึกหรอของหน้ายางด้วย หากสึกหรอแถบกลางมากกว่า แสดงว่าแรงดันลมยางสูงไป แต่ถ้าริมทั้ง 2 ข้างสึกหรอมากกว่าแถบกลาง แสดงว่าแรงดันต่ำไป (ศูนย์ล้อ และระบบช่วงล่างต้องปกติ)

 

       หากไม่ใช่เป็นคนที่จับอาการของรถยนต์ในการขับได้ดี หรือความรู้สึกช้า ไม่สามารถแยกความแตกต่างได้ ก็ควรปฏิบัติตามคู่มือประจำรถยนต์

 

       เติมไนโตรเจน
       หลายคนสนใจ เพราะความเชื่อหรือโฆษณาว่า เติมไนโตรเจน 100% แทนลม (อากาศปกติ) แล้วแรงดันลมยางจะเปลี่ยนแปลงน้อยเมื่อยางร้อน

 

       ในความเป็นจริง อากาศก็มีไนโตรเจนผสมอยู่กว่า 75% อยู่แล้ว มีออกซิเจนกว่า 20% การขยายตัวของอากาศปกติกับไนโตรเจนล้วน ๆ เมื่อเกิดความร้อนขึ้น จึงไม่ต่างกันมาก

 

       ปัญหาที่สำคัญกว่าและถูกมองข้าม เป็นเรื่องของความชื้นหรือไอน้ำที่ผสมอยู่ในลมที่ถูกเติม เพราะปั๊มลมส่วนใหญ่มีการกรองเอาไอน้ำออกไม่หมด หรือไม่กรองเลย ซึ่งในการเติมลมยางตามสถานที่ทั่วไป จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงลมผสมไอน้ำได้ เพราะไม่สะดวกที่เราจะตรวจสอบเมื่อความชื้นกัลบกลายเป็นน้ำ แรงดันรวมของยางจะลดลง แต่เมื่อยางร้อน น้ำจะกลายเป็นก๊าซ แรงดันจะเพิ่มขึ้น

 

       ดังนั้น การเติมลมด้วยไนโตรเจนล้วน ๆ จึงอาจจะดีในแง่ที่มีความชื้นปนอยู่น้อยมาก หากอยากเติม ก็ควรสะดวกทั้งในการเติมครั้งแรก และการเติมครั้งต่อ ๆ ไป ถ้าเติมได้แค่ครั้งแรกแล้วครั้งต่อไปเติมด้วยลมธรรมดา (ที่มีไอน้ำปน) ประโยชน์ของไนโตรเจนก็จะลดลงไป

 

       ขับทางไกล / บรรทุกหนัก / เพิ่มแรงดันลม
       การขับทางไกลด้วยความเร็วและต่อเนื่อง ยางจะเกิดความร้อนมากกว่าปกติ จากการเคลื่อนไหวของยางในทุกส่วน ลมยางที่ร้อนจะขยายตัวเพิ่มแรงดัน จนลดการเกาะถนน และการทรงตัว ถ้าแรงดันเพิ่มขึ้นมาก ๆ และร้อนจัด ยางก็อาจระเบิดได้

 

       บางคนก็เลยคิดและทำแบบผิด ๆ โดยเติมลมยางอ่อนกว่าปกติ เพราะคิดว่าจะเป็นการเผื่อล่วงหน้า เวลายางร้อน แรงดันจะได้ไม่เพิ่มขึ้นเกิน แต่ในการใช้งานจริง แรงดันกลับเพิ่มขึ้นมาก เพราะยางร้อนจากการบิดตัวง่าย และเป็นทั้งแรงดันที่สูง และเป็นลมร้อน ยางจึงเสี่ยงต่อการระเบิด

 

       ในความเป็นจริง ยางที่จะใช้ในการขับทางไกลหรือความเร็วสูงอย่างต่อเนื่อง ควรเติมไว้ให้มีแรงดันลมสูงกว่าปกติ 2-3 ปอนด์/ตารางนิ้ว เพื่อเป็นการลดการบิดตัวของยาง จึงทำให้ความร้อนน้อยกว่ายางที่ลมอ่อน แม้จะเริ่มต้นด้วยแรงดันที่สูงกว่า แต่เมื่อร้อนแล้วมีการขยายตัวของลมยางน้อยกว่า การเพิ่มแรงดันจึงมีไม่มาก และไม่ร้อนจัด

 

       หากบรรทุกน้ำหนักเพิ่มขึ้นก็ควรเพิ่มแรงดันลมยาง ไม่เฉพาะแต่ปิกอัพ แต่รวมถึงรถเก๋งด้วย เพราะถ้าใช้แรงดันลมยางเท่าเดิม หน้ายางสัมผัสจะมากขึ้น ยางจะแบนลง บริเวณที่แบนลงจึงหมุนยากขึ้น ตามหลักการง่าย ๆ คือ ลมยางมีขอบเขตการรับน้ำหนักตามแรงดันที่ไส่ไว้ เช่น หน่วยแรงดันเป็นปอนด์/ตารางนิ้ว ถ้ายางล้อนั้นมีน้ำหนักกดลง 300 ปอนด์ เติมลมไว้ 30 ปอนด์/ตารางนิ้ว ยางก็จะถูกกดลงจนมีหน้าสัมผัส 10 ตารางนิ้ว

 

image-140

 

       ถ้ามีน้ำหนักกดลงมาเพิ่มเป็น 420 ปอนด์ หน้าสัมผัสก็ต้องเพิ่มเป็น 14 ตารางนิ้ว นั่นคือ ยางต้องแบนลง ลดความกลม หมุนยาก อัตราเร่งอืด และยางต้องถูกบิดตัวมาจนร้อนมาก เพราะเมื่อรถยนต์แล่น ก็จะพยายามทำให้ยางกลม ในขณะที่หน้าสัมผัสของยางแบนกว่าปกติ

 

       เรื่องต่าง ๆ ของยางรถยนต์ล้วนมีความน่าสนใจ เพราะเกี่ยวข้องทั้งสมรรถนะ และความปลอดภัย

 

       THAIDRIVER
       ที่มา : http://automobile.mweb.co.th/news/

 

To make your Joomla! website unavailable to visitors, replacing it with a simple message, do this:

  1. Log in to the Administrator back-end.
  2. Click on the Global Configuration button in the main Control Panel or System → Global Configuration in Joomla 3.x.
  3. There are so many configuration options that they need to be divided into separate groups or tabs. The Site tab, it should be the default first view displayed, if not click on the tab.
  4. Find where it says Site Offline and click the Yes button in Joomla 3.x.
  5. Optional: Change the Offline Message to give your visitors some explanation about why your website is unavailable.
  6. Click the Save toolbar button to implement the new settings:
    • The Save toolbar button will save your changes and but leave you in Global Configuration.
    • The Save and Close button will save your changes and return you to the Administrator Control Panel.
  7. You should see a message confirming the settings have been changed.

ศูนย์สารสนเทศยานยนต์

ติดต่อ ศูนย์สารสนเทศยานยนต์ สถาบันยานยนต์

อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา (สพข.) ซ.ตรีมิตร กล้วยน้ำไท ถ.พระรามที่ 4 แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110
โทรศัพท์: 0-2712-2414 ต่อ 6443
email : aiu@thaiauto.or.th