หากจะกล่าวถึงข่าวคราวในวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ เรื่องราวของรถยนต์ที่กำลังอยู่ในความสนใจและมีการกล่าวถึงกันเป็นอย่างมาก ในขณะนี้ คงไม่พ้นจากเรื่องที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์ประหยัดพลังงานหรือ “อีโคคาร์” จาก 30% เหลือเพียง 17% แล้ว โดยจะเริ่มมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2552
รถ “อี โคคาร์” มีคุณสมบัติที่สำคัญ คือ ต้องเป็นเครื่องยนต์เบนซินขนาดไม่เกิน 1300 ซีซี หรือ เครื่องยนต์ดีเซลขนาดไม่เกิน 1400 ซีซี โดยต้องมีอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงไม่น้อยกว่า 20 กม./ลิตร ผ่านมาตรฐานไอเสียรถยนต์ยูโร 4 ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่เกิน 120 กรัม/กม.
ผ่านมาตรฐานการชนตาม UN/ECE
ที่ผ่านมาผู้เขียนได้เคยกล่าวในบทความชุดก่อนๆ ว่า จากเงื่อนไขที่กำหนดมานั้น ทำให้รถ “อี โคคาร์” มีความปลอดภัยได้อย่างไร ถึงแม้ว่ารถ “อีโคคาร์” จะมีขนาดเล็กก็ตาม แต่ในบทความนี้ผู้เขียนจะกล่าวถึงรายละเอียดเกี่ยวกับรถ“อีโคคาร์” กับอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งผู้อ่านจะได้ทราบว่าการทดสอบตามมาตรฐานอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อ เพลิงของรถ“อีโคคาร์”นั้นทดสอบกันอย่างไร และเงื่อนไขที่กำหนดของรถ“อีโคคาร์” ว่าต้องมีอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงไม่น้อยกว่า 20 กม./ลิตร นั้น จะมีประโยชน์ต่อผู้ขับขี่ และประเทศชาติอย่างไร
มาตรฐานที่ใช้ UN/ECE 101
วิธีทดสอบ
ทำการทดสอบกันในห้องทดสอบที่มีการควบคุมอย่างเข้มงวดเพื่อหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ มีผลกระทบให้มากที่สุด รถยนต์ที่ทดสอบแต่ละคันจะถูกทำการทดสอบบนแท่นทดสอบสารมลพิษ (Chassis Dynamometer) โดยรถยนต์หยุดนิ่งอยู่กับที่ และมีเพียงแค่ล้อที่หมุนไปตามลูกกลิ้ง (Roller) ที่จำลองแรงเสียดทานเสมือนการขับขี่จริง สำหรับโหมดในการขับขี่นั้นก็ใช้ EU NEDC (ดังรูปที่แสดง)
สำหรับผู้ที่ขับขี่ขณะทดสอบนั้น ต้องได้รับการฝึกอบรมเรื่องการขับขี่มาเป็นอย่างดี โดยผู้ขับขี่จะต้องขับขี่ตามความเร็วการขับขี่ที่มีการจำลองการขับขี่ใน เมืองและบนทางด่วน(Highway) รวมทั้งในขณะขับขี่ ผู้ขับขี่ต้องสามารถเห็นสถานการณ์ขับขี่เทียบกับเป้าหมายที่กำหนดให้ตามเวลาการขับขี่ได้

ลักษณะการทดสอบในห้องปฎิบัติการทดสอบ
ตลอดการทดสอบจะมีการเก็บไอเสียจากท่อไอเสียรถยนต์ เพื่อที่จะนำมาวัดจำนวนของ คาร์บอนที่ออกมาจากระบบไอเสีย และนำมาคำนวณจำนวนอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
วิธีการคำนวณอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
สามารถแยกตามประเภทเชื้อเพลิงดังนี้
1.เครื่องยนต์เบนซิน
FC = (0.1154/D)*((0.866*HC)+(0.429*CO)+(0.273*CO2))
2.เครื่องยนต์ดีเซล
FC = (0.1155/D)*((0.866*HC)+(0.429*CO)+(0.273*CO2))
**หมายเหตุ :
FC หมายถึง อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงในหน่วยลิตรต่อ 100 กิโลเมตร
D หมายถึง ความหนาแน่นของเชื้อเพลิงทดสอบ
HC หมายถึง ไฮโดรคาร์บอนที่วัดได้ในหน่วยกรัมต่อกิโลเมตร
CO หมายถึง คาร์บอนมอนอกไซด์ที่วัดได้ในหน่วยกรัมต่อกิโลเมตร
CO2 หมายถึง คาร์บอนไดออกไซด์ที่วัดได้ในหน่วยกรัมต่อกิโลเมตร
ประโยชน์ที่จะได้รับ
1. ประโยชน์ที่จะได้รับจากการทดสอบ คือ ทำให้ทราบว่ารถ “อีโคคาร์” นี้มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่เข้าเงื่อนไขมีอัตราการสิ้น เปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างน้อย 20 กิโลเมตรต่อลิตรหรือไม่
2. ประโยชน์ที่จะได้รับต่อผู้ใช้รถ คือ ทำให้ผู้ใช้รถประหยัดค่าใช้จ่ายจากการเติมน้ำมันรถได้เป็นอย่างดีเพราะมีอัตราการสิ้นเลืองน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำมาก
3. ประโยชน์ที่จะได้รับต่อประเทศชาติ คือ ส่งผลให้สภาวะเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น เนื่องจากเมื่อใช้รถ “อีโคคาร์” แล้วจะเป็นการประหยัดพลังงานลดการนำเข้าน้ำมัน ทำให้ประเทศชาติประหยัดเงินในการซื้อน้ำมันดิบอีกมาก
อย่างไรก็ตามผู้เขียนอยากให้ข้อสังเกตว่า ค่าอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้จากการทดสอบเมื่อนำมาเปรียบ เทียบกับการขับขี่จริงนั้น อาจแตกต่างกันได้ ทั้งนี้ เนื่องจากการขับขี่จริงมีปัจจัยในการขับขี่หลายอย่างที่อาจแปรผันได้อาทิ สภาพการจราจร สภาพอากาศ นิสัยของผู้ขับขี่ รวมถึงการบำรุงรักษา
แต่ประโยชน์ที่ได้รับแน่นอน ในการแสดงค่าอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงคือ สามารถเปรียบเทียบกับรถรุ่นต่างๆ ที่เราสนใจ ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกซื้อรถที่ประหยัดพลังงาน
และทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วนั้นผู้เขียนก็หวังว่าผู้อ่านคงจะเข้าใจถึงประโยชน์ของรถ “อีโคคาร์” ด้านการประหยัดพลังงานไม่มากก็น้อย
แหล่งที่มา : ธนวัฒน์ บุญประดิษฐ์ แผนกวิศวกรรมยานยนต์ สถาบันยานยนต์