ในการผลิตกระจกนิรภัยสำหรับรถยนต์ชนิดหลายชั้น (laminated) ทางผู้ผลิตได้ใส่วัสดุใสคั่นกลาง (Interlayer) เพื่อทำให้กระจก 2 แผ่นหรือมากกว่าประกบติดกันสนิท เมื่อกระจกแตกจะไม่หลุดออกจากวัสดุใสคั่นกลาง และโดยทั่วไปจะไม่แตกเป็นชิ้นใหญ่ๆ ซึ่งในการทดสอบการทนรังสีนี้เอง จะเป็นการทดสอบพวกวัสดุใสคั่นกลางว่า คุณภาพก่อนและหลังการจำลองสภาวะการฉายรังสี UV ความโปร่งแสงก่อนและหลังการฉายรังสี มีความแตกต่างกันเท่าไร อยู่ในค่าที่ยอมรับได้หรือไม่ เนื่องจากคุณภาพของ วัสดุใสคั่นกลาง จะมีผลต่อทัศนวิสัยในการขับขี่ และอาจก่อให้เกิดอันตรายแค่ผู้ขับขี่ได้
ตาม มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มอก.195-2536 ได้กล่าวถึงวิธีการทดสอบกระจกนิรภัยสำหรับรถยนต์ ซึ่งเป็นมาตรฐานบังคับว่า จำเป็นจะต้องผ่านการทดสอบตามรายการดังต่อไปนี้
การทดสอบ | เครื่องมือที่ใช้ | |
1 |
ความหนา วัดความหนาของชิ้นทดสอบที่กึ่งกลางของด้านทั้งสี่ |
|
2 |
ลักษณะทั่วไป ตรวจสอบข้อบกพร่องที่อาจมีและรบกวนหรือเป็นอุปสรรคต่อการใช้งาน |
|
3 |
การส่งผ่านแสง วัดปริมาณแสงส่งผ่านชิ้นทดสอบและปริมาณแสงตกกระทบ |
|
4 |
การแยกภาพทุติยภูมิ ระยะเหลื่อมสูงสุดของภาพปฐมภูมิและภาพทุติยภูมิเมื่อมองผ่านบริเวณมองผ่านปฐมภูมิ ต้องไม่เกิน 15 ลิปดาของอาร์กการแยกภาพทุติยภูมิ ระยะเหลื่อมสูงสุดของภาพปฐมภูมิและภาพทุติยภูมิเมื่อมองผ่านบริเวณมองผ่านปฐมภูมิ ต้องไม่เกิน 15 ลิปดาของอาร์ก |
|
5 |
การเห็นภาพเพี้ยน ค่าเบี่ยงเบนเชิงมุมที่เปลี่ยนแปลงไปต้องไม่เกิน 15 ลิปดาของอาร์กเมื่อมองผ่านบริเวณมองผ่านปฐมภูมิ |
|
6 |
การชี้บ่งสี ตรวจพินิจสีของกระดานสีโดยมองผ่านชิ้นทดสอบว่าสามารถชี้บ่งสีต่าง ๆ ตามสีของกระดานได้หรือไม่ |
|
7 |
ความทนการขัดถู ค่าความฝ้าเนื่องจากการขัดถูต้องไม่เกิน 2%ค่าความฝ้าเนื่องจากการขัดถูต้องไม่เกิน 2% |
|
8 |
ความทนอุณหภูมิสูง จุ่มชิ้นทดสอบลงถังน้ำเดือดและยกขึ้น แล้วตรวจพินิจฟองอากาศและข้อบกพร่องอื่น |
|
9 | ความทนรังสี หลังจากผ่านรังสี UV แล้วนำมาตรวจพินิจการส่งผ่านแสง |
|
10 |
ความทนความชื้น หลังผ่านความชื้นตรวจพินิจสี ฟองอากาศและความขุ่นมัว |
|
11 |
การกระแทกโดยศีรษะทดสอบ ตรวจพินิจสภาพของกระจกนิรภัยทันทีที่ศีรษะทดสอบตกกระแทก |
|
12 |
ความทนการทะลุ ตรวจพินิจว่าลูกเหล็กกลมทะลุผ่านชิ้นทดสอบหรือไม่ |
|
13 |
ความทนการกระแทก ตรวจพินิจว่าลูกเหล็กกลมทะลุผ่านชิ้นทดสอบหรือไม่ |
|
14 |
ลักษณะการแตก นับจำนวนเศษกระจกแตกให้แล้วเสร็จภายในเวลา 3 นาที |
|
โดยในครั้งนี้จะกล่าวถึงวิธีการทดสอบความทนต่อรังสี ในส่วนของวิธีทดสอบนี้จำเป็นต้องใช้เครื่อง Ultraviolet Radiation Device (UV) มาช่วยในการทดสอบ (ดังรูปที่1)
เครื่องมือตามที่มาตรฐานกำหนด ได้กำหนดไว้ว่าจะต้องเป็นเครื่องฉายรังสีอัลตราไวโอเลต ที่มีแหล่งกำเนิดรังสี เป็นหลอดไอปรอทแก้วควอตซ์ (Quartz glass mercury lamp) ขนาด 750 ±50 วัตต์ หรือแหล่งกำเนิดรังสีอื่นที่เทียบเท่ากันซึ่งสามารถปรับและควบคุม อุณหภูมิได้ด้วย
การเตรียมชิ้นทดสอบ : ให้ใช้ชิ้นทดสอบเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดประมาณ 30 เซนติเมตรที่ตัดมาจากผลิตภัณฑ์ตัวอย่างจำนวน 3 ชิ้น
วิธีทดสอบ: จะอ้างอิงมาตรฐานที่ใช้ทดสอบ ECE R43 และก่อนทำการทดสอบจะต้องหาอัตราส่วนการส่งผ่านแสงในที่นี้ให้ค่าสมมติเป็น a โดยใช้เครื่อง Light Transmission วัดการส่งผ่านแสงดังรูปที่ 2หลังจากนั้นนำชิ้นทดสอบใส่ลงเครื่อง UV โดยควบคุมอุณหภูมิไว้ที่ 45 ± 5 องศาเซลเซียส ต้องให้ผิวชิ้นทดสอบด้านที่จะอยู่นอกรถยนต์หันเข้าหาแหล่งกำเนิดรังสีนาน 100 ชั่วโมง หลังจากนั้นนำชิ้นทดสอบหาอัตราส่วนการส่งผ่านแสงในที่นี้ให้ค่าเป็น b โดยวัดด้วย เครื่อง Light Transmission อีกครั้ง
หาค่าอัตราส่วนของ (b/a) x 100 เทียบกับค่าที่กำหนด และตรวจพินิจชิ้นทดสอบบนพื้นสีขาว เพื่อหาความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดของสี ฟองอากาศ และความขุ่นมัวภายหลังการฉายรังสี สำหรับเกณฑ์การผ่านค่าอัตราส่วนของ (b/a) x 100 จะต้องไม่น้อยกว่า 95%, และค่าอัตราการส่งผ่านแสงภายหลังการฉายรังสี (b) ไม่น้อยกว่า 70 % และไม่มีความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดของสี ฟองอากาศ และความขุ่นมัว