สมัครสมาชิกวันนี้

  • Silver
  • สมาชิกระดับ Silver
  • ฟรี
  • สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารขั้นพื้นฐานได้
  • ข้อมูลผู้ประกอบการต่างประเทศ
  • ข้อมูลสถิติในประเทศและต่างประเทศ
  • มาตรการทางการค้าระหว่างประเทศ
  • กฎ ระเบียบ นโยบายในประเทศ
  • เทคโนโลยี และงานวิจัย
  • สมัครสมาชิก

               ชี้ส่วนใหญ่หนีภาษีฟอกเงิน-แถมรับลูกครม.แก้ฝุ่น พาณิชย์เดินหน้าแก้กฎหมายนำเข้ารถยนต์มือสองส่วนบุคคล ชี้ส่วนใหญ่เป็นรถหรู รถหนีภาษีและผิดกฎหมาย มักเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน ยาเสพติด มักมีการสวมสิทธิ์ใช้ชื่อผู้อื่น นำเข้าแทน เตรียมเสนอครม.พิจารณา แถมแก้ปัญญามลพิษจากรถยนต์เก่าด้วย นางสาวชุติมา บุญยประภัศร รมช.พานิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพานิชย์(พณ.)อยู่ระหว่างปรับปรุงประกาศระเบียบเกี่ยวกับการนำเข้ารถยนต์ที่ใช้แล้ว(รถยนต์มือสอง) ก่อนที่จะเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)พิจารณา เพื่อป้องกันปัญหามลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยของผู้ใช้ถนน แก้ไขปัญหาการหลบเลี่ยงมาตรการคววบคุมเพื่อมาจำหน่ายในประเทศ รวมถึงการสวมสิทธิ์ใช้ชื่อผู้อื่นนำเข้าแทน การปลอมแปลงเอกสาร และสอดคล้องกับการแก้ไขปัญหามลภาวะด้านฝุ่นละออง “รถยนต์มือสองอยู่ภายใต้การควบคุมนำข้าของกระทรวงพานิชน์ตั้งแต่พ.ศ.2496 จำนวน 9 ประเภท เบื้องต้นจะห้ามนำเข้ารถยนต์ที่ใช้แล้วเพื่อใช้เฉพาะตัว โดยส่วนใหญ่เป็นรถหรู ส่วนรถยนต์มือสองนำเข้าประเภทอื่นๆ ก็จะโอนหน้าที่กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณานำเข้า” สำหรับรถยนต์ที่ใช้แล้วเป็นสินค้าควบคุมการเข้า ครอบคลุมรถยนต์ที่ใช้แล้ว 9 ประเภท ตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 87.01,87.02,87.03,87.04 และ 87.05 ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร อาทิ รถยนต์นั่งที่ใช้แล้วเพื่อใช้เฉพาะตัว รถลักษณะพิเศษที่ใช้แล้วเพื่อใช้ในกิจกรรมของตน รถยนต์ที่ใช้แล้วเพื่อใช้ในกิจการของตน รถยนต์ที่ใช้แล้วทุกชนิดที่ได้รับการยกเว้นหรือชดเชยภาษี นอกจากนี้ยังมีรถยนต์ที่ใช้แล้วทุกชนิดโดยส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์การสาธารณกุศล รถยนต์ที่ใช้แล้วทุกชนิดเป็นการชั่วคราว รถยนต์ที่ใช้แล้วเพื่อเป็นต้นแบบผลิตหรือศึกษาวิจัยรถยนต์ที่ใช้แล้วเพื่อปรับสภาพแล้วส่งออก รถยนต์ที่ใช้แล้วเพื่อจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ ฯลฯ

ที่มา : หนังสือพิมพ์ ข่าวสด ฉบับวันที่ 1 มีนาคม 2562

                  ยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicles : EV) เป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยให้การสนับสนุนมาตั้งแต่ปี 2560 โดยได้วางแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้านพลังงานเพื่อส่งเสริมการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยในระหว่างปี 2557-2562 การที่รัฐบาลไทยพยายามผลักดันยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มที่เพราะนี่คือส่วนหนี่งของการลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมโดย ผศ.ดร.ภูรี สิรสุนทร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรมศาสตร์ นักวิจัยของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ฮิบายว่ายานยน๕ชต์ไฟฟ้าหรือรถยนต์ไฟฟ้ามีอัตราเร่งในการออกตัวสูงไม่ต้องทดเกียร์ไม่มีเสียงดังของเครื่องยนต์นอกจากนี้ยังประหยัดค่าซ้อมบำรุงและค่าเชื้อเพลิงโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ก่อให้เกิดมลพิษอย่างฝุนละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ยานยนต์ไฟฟ้ามีข้อด้อยที่นักขับไม่ค่อยปลื้มคือราคาที่ค่อนข้างสูงและการชาร์จพลังงาน 1 ครั้ง (ประมาณ 4 ชั่วโมง) จะวิ่งได้ประมาณ 400 กิโลเมตร ทำให้ไม่เหมาะแก่การใช้เดินทางไกล เพราะฉะนั้นต่อให้มีข้อดีเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหลายๆประเทศ อาทิ นอร์เวย์ เยอรมนี ญี่ปุ่น อเมริกาและจีน เริ่มนำมาใช้จริง แต่ความคุ้มค่าคุ้มราคาสำหรับคนไทย อาจจะต้องใช้เวลาในการวัดผลสักนิด สกว. จึงได้ทำงานวิจัยโครงหารประเมินมาตรการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าต่อการยอมรับของผู้บริโภคและประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคขนส่งเพื่อใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาดูว่าจะทำอย่างไรให้ผู้ใช้รถตัดสินใจมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้าแทนยานยนต์ประเภทที่ใช้เชื้อเพลิง (เครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal combustion engine : ICE )) ผลการวิจัยพบว่าสิ่งที่ต้องทำให้เกิดความชมัดเจนคือตัวชี้วัดเพื่อนเปรียเทียบให้เห็นชัดเจนทั้ง ต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของ (Total cost Ownership : TCO) ต่อยานยนต์ 1 คันไม่ว่าจะเป็นราคารถมือหนึ่งและมือสอง รวมไปถึงค่าเชื้อเพลิง ค่าบำรุงรักษาและค่าใช้จ่ายอื่นๆที่จะตามมา เช่น ดอกเบี้ยประกันและภาษี ซึ่งในปัจจุบันเมื่อเปรียบเทียบต้นทุนที่ผู้ใช้ยานยนต์ต้องจ่ายหรือ ต้นทุนเอกชนแล้ว EV ยังมีความโดดเด่นจูงใจไม่มามกพอที่จะทำให้ผู้ซื้อเปลี่ยนมาซื้อ EV โดยเฉพาะเมื่อยานยนต์ในเซ็กเมนต์เดียวกันยานยนต์ประเภทสันดาปภายในมีราคาที่ถูกกว่าในขณะที่ ต้นทุนทางสังคม โดนเฉพาะต้นทุนที่เกิดจากมลพิษทางอากาศการใช้ EV ไม่ก่อให้เกิดต้นทุนนี้เลยและมีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่า

ที่มา : หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562

                  นายนินนาท ไชยธีรภิญโญ ประธานคณะกรรมการ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เผยว่า โตโยต้าร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดประกวดโครงการ ซียู โตโยต้า ฮาโม โอเพ่น อินโนเวชั่น คอนเทสต์ (CU TOYOTA Ha:mo OPEN INNOVATION CONTEST) เพื่อร่วมพัฒนานวัตกรรมการเดินทางในอนาคต โดยรองศาสตราจารย์ ดร. ณัฐชา ทวีแสงสกุลไทย รองอธิการบดี กำกับดูแลด้านการพัฒนางานใหม่และงานนวัตกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาร่วมเป็นประธานในงานตัดสินรอบชิงชนะเลิศ ณ อาคารฌฉลิมราชกุมารี 60 พรรษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อเร็วๆนี้ นายนินนาทกล่าวว่า บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้ริเริ่มโครงการนี้ภายใต้ความร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปี 2560 เพื่อทดลองระบบการแบ่งปันรถกันใช้ด้วยยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก อีวี คาร์แชริ่ง (EV Car Sharing) เพื่อวิ่งมนระยะทางสั้นๆ สำหรับการเดินทางเชื่อมต่อระหว่างระบบขนส่งสาธารณะ และการเดินทางส่วนบุคคลอย่างราบรื่น เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับความสะดวกสบาย เดินทางสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างรวดเร็วและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันโครงการมีรถไฟฟ้าที่ให้บริการรวมทั้งหมด 30 คัน ใน 22 สถานี โดยครอบคลุมพื้นที่ภายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สยามสแควร์ สามย่าน และสวนหลวง จากการประเมินโครงการ “CU TOYOTA Ha:mo” พบว่า ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มเป้าหมาย และเพื่อขยายระบบคมนาคม Ha:mo ออกไปในวงกว้าง ทางโครงการจึงเปิดให้นิสิตนักศึกษาได้เข้ามามีส่วนร่วมพัฒนาโครงการจะประสบการณ์การใช้งานจริง ภายใต้โครงการ “เวทีเปิดทาง นวัตกรรม” เพื่อให้นิสิตนักศึกษาได้ประยุกต์ใช้ความรู้ความสามารถ และนำแนวความคิดหรือแผนงานที่เข้าร่วมแข่งขันไปประยุกต์ใช้งานในอนาคตตลอดจนมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบ EV Car Sharing ไปในมิติต่างๆ มีผู้สนใจส่งผลงานเข้าร่วมประกวดทั้งสิ้น 30 ทีม ผลการตัดสิน ด้านระบบขับขี่อัตโนมัติ เพื่อการรีโลเคชั่นรถ รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ทีม KWY ด้านการนำเทคโนโลยีหรือแอพพลิเคชั่นเข้ามาปรับปรุงให้ผู้ใช้งานขับขี่ปลอดภัยและประหยัดมากขึ้น รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ทีม SIMPLE HARMOIC ด้านการออกแบบระบบรีโลเคชั่นรถ สำหรับ CU TOYOTA Ha:mo รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ทีม CAPANITY ด้านแผนการตลาดเพื่อเพิ่มจำนวนสมาชิกและการใช้งาน รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ทีม องศ์หญิงสามย่าน

ที่มา : หนังสือพิมพ์ มติชน ฉบับวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2562