สมัครสมาชิกวันนี้

  • Silver
  • สมาชิกระดับ Silver
  • ฟรี
  • สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารขั้นพื้นฐานได้
  • ข้อมูลผู้ประกอบการต่างประเทศ
  • ข้อมูลสถิติในประเทศและต่างประเทศ
  • มาตรการทางการค้าระหว่างประเทศ
  • กฎ ระเบียบ นโยบายในประเทศ
  • เทคโนโลยี และงานวิจัย
  • สมัครสมาชิก

           แม้ว่าเมื่อเร็วๆนี้ จะมีรายงานว่ายอดขายรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าทั้งคันในนอร์เวย์จะแซงหน้ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ก็ตาม แต่ถ้าพิจารณาจากสภาพความเป็นจริง ประเทศที่น่าจะเป็นอนาคตของยานยนต์ไฟฟ้ามากที่สุดน่าจะเป็นประเทศจีน ในฐานะที่จีนเป็นประเทศที่มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมากที่สุดในโลกจากประมาณ 500,000 คันเป็น 1.2 ล้านคัน ส่วนปี 2561 ที่ผ่านมา ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกอยู่ที่ 2.1 ล้านคัน ครอบคลุมรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ และรถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2560 ถึง 64% ไม่ใช่เรื่องหน้าแปลกใจที่มีข้อมูลลักษณะนี้ เพราะรัฐบาลจีนทุ่มเทให้กับอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากเล็งเห็นแล้วว่านี่คืออนาคต นอกจากนั้นจีนยังลดภาษีให้รถยนต์ประเภทนี้ด้วย ไม่นับการอัดฉีดเงินให้กับบริษัทที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมทั้งเร่งสร้างและกระจายโครงสร้างพื้นฐานอย่างจุดชาร์จไฟฟ้าให้มีจำนวนมากที่สุด จีนทุ่มเทและผลักดันรถยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจัง แม้กระทั่งบริษัทที่มีความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างสหรัฐยังเป็นรอง แม้สหรัฐจะติดกลุ่มประเทศที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในสัดส่วนที่สูงเช่นกันก็ตาม

ที่มา : หนังสือพิมพ์ กรุงงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 25 เมษายน 2562

             Japan will require automakers to improve fleetwide fuel economy, including electric vehicles, by roughly 30% from the fiscal 2020 target by fiscal 2030, as it seeks to account for the environmental impact of Earth-friendly autos while still promoting their use.Electric cars so far have been calculated as having zero emissions because they do not use gasoline. The new rules will take into account the carbon dioxide emitted when generating power to run electrics, converting it into a measure of fuel efficiency, to encourage power-saving improvements.The standards will apply to the average fuel economy of each carmaker's total sales, not individual models. The fiscal 2020 target, set in 2011, called for an average of about 20 km per liter of gasoline -- up 24.1% from the fiscal 2009 performance. Japanese automakers are expected to achieve that target ahead of schedule.The government will use the new standards to promote adoption of next-generation vehicles. Electrics and plug-in hybrids accounted for only about 1% of new-auto sales in fiscal 2017 but could rise to between 20% and 30% in 2030. Gasoline autos are expected to fall to between 30% and 50% from the current 63%.A draft of the new standards will be unveiled after the nation's Golden Week holidays end in early May, for adoption around summer.Electric vehicles generally have a smaller environmental footprint than gasoline vehicles or hybrids and are believed to be a more effective way of meeting fuel economy targets. But further innovation is needed before they can become a mass-market product."We can't satisfy the standards with just gasoline-powered cars, so we will tap electrified cars, mostly hybrids, which are our current 'realistic' solution," Toyota Motor executive said."Companies will likely be forced to move up the timeline for their targets, like the percentage of electrified cars" in sales, said Koichi Sugimoto of Mitsubishi UFJ Morgan Stanley Securities.The government will consider easing requirements if an automaker uses energy-saving air conditioners and other such equipment. A midterm

ประเทศญี่ปุ่นต้องการให้รถยนต์ไฟฟ้าลด Carbon footprint

          ประเทศญี่ปุ่นตั้งเป้าหมายที่จะลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านการใช้มาตรฐานอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยรายแบรนด์ ซึ่งมีการตั้งเป้าที่จะลดอัตราการสิ้นเหลือน้ำมันเชื้อเพลิงร้อยละ 30 ในปีค.ศ. 2030 โดยเริ่มต้นในปีค.ศ. 2020 ที่อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 20 กิโลเมตรต่อลิตร นอกจากนั้นรถยนต์ไฟฟ้าที่ในขณะปัจจุบันถูกมองว่าเป็นรถยนต์ที่ไม่มีการปล่อยมลพิษ (Zero Emission) ขณะใช้งาน แต่มีการปล่อยมลพิษ และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นจะนำปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ใช้ในการผลิตเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า แปลงค่ามาเป็นอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเทียบเท่าเพื่อนำมาใช้กับมาตรการนี้ด้วย โดยจะประกาศใช้ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ที่จะถึงนี้

ที่มา: Nikkei Asian Review ประจำวันที่ 24 เมษายน 2562 review will be conducted to evaluate whether the new standards are appropriate.

                   ส.อ.ท. แจ้งยอดผลิตรถยนต์ 2 เดือนของปีนี้ 362,666 คัน โต 5.29% เป็นรถยนต์นั่ง 147,850 คัน รถกระบะ 1 ตัน 210,052 คัน คิดเป็นสัดส่วน 40.77% และ 57.92% ตามลำดับ ส่วนรถจักรยานยนต์ผลิต 435,932 คัน ขณะที่ยอดขายรถยนต์ในประเทศอยู่ที่ 160,381 คัน และรถจักรยานยนต์ขายจำนวน 294,272 คัน นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาวอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงจำนวนการผลิตและยอดขายรถยนต์ เผยถึงจำนวนการผลิตและยอดขายรถยนต์ รถจักรยานยนต์ภายในประเทศช่วง 2 เดือน (มกราคม กุมภาพันธ์) ปี 2562 นี้ว่า มีจำนวนรถยนต์ที่ผลิตในเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ 2562 จำนวนทั้งสิ้น 362,666 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ 2561 คิดเป็นสัดส่วน 5.29% โดยแบ่งเป็นยอดผลิตของรถยนต์นั่ง ตั้งแต่เดือนมกราคม กุมภาพันธ์ 2562 มีจำนวน 147,850 คัน เท่ากับ 40.77% ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ 2561 อยู่ที่ 5.14% ขณะที่รถกระบะขนาด 1 ตัน ตั้งแต่เดือนมกราคม กุมภาพันธ์ 2562 ผลิตทั้งสิ้น 210,052 คัน เท่ากับ 57.92% ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ 2561 อยู่ที่ 5.67% โดยแบ่งเป็นรถกระบะบรรทุกจำนวน 54,307 คัน รถกระบะดับเบิ้ลแค็บ 130,221 คัน และกระบะ PPV จำนวน 25,524 คัน

ที่มา : หนังสือพิมพ์ สยามธุรกิจ ฉบับวันที่ 24 เมษายน 2562