สมชาย หาญหิรัญ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผย ถึงแนวทางการเชื่อมโยงเอสเอ็มอี ไปสู่อุตสาหกรรมเป้าหมาย ว่า ขณะนี้ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบหมายให้อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ไปประสานงานกับบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่ม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายของรัฐบาล ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดี และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมหุ่นยนต์เพื่อการอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมดิจิทัล และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร เพื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้ามาอยู่ในซัพพลายเชนระดับโลกมากขึ้น โดยขณะนี้ได้มี "บริษัทขนาดใหญ่" ในอุตสาหกรรมเป้าหมายหลายรายแสดงความสนใจที่จะร่วมมือในแนวทางดังกล่าว เช่น บริษัท เด็นโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์รายใหญ่ ซึ่งจะเข้ามาเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการชิ้นส่วนยานยนต์ไทยให้สามารถยกระดับการผลิตเพิ่มขึ้น
ที่มา : หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 31 ตุลาคม 2560
กระแส รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle : EV) ที่กำลังค่อยๆกลืนกินรถยนต์ที่ใช้แก๊สและน้ำมันให้หายไปเรื่อยๆ โดยขณะที่หลายประเทศทั่วโลกได้ตั้งเป้านโยบายส่งเสริมการใช้รถอีวี พร้อมๆกับประกาศยกเลิกการผลิตและการใช้รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งมีการประเมินว่า นอร์เวย์ จะเป็นประเทศแรกของโลกที่บรรลุเป้าหมายผลักดันการใช้รถยนต์อีวีแบบ 100% ในปี 2025 รัฐบาลหลายประเทศเริ่มปรับเปลี่ยนนโยบายที่เกื้อหนุนตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศมากขึ้น ตัวอย่างจาก เยอรมนี ที่ประกาศนโยบายเมื่อปีก่อนโดยรัฐบาล จะออกมาตรการทางภาษีเพื่อบังคับให้ผู้ผลิตรถยนต์ยุติการจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง แล้วหันมาใช้พลังงานไฟฟ้าหรือพลังงานที่ไม่ปล่อยมลพิษแทนภายในปี 2030 ทั้งยังเสนอให้กลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป (อียู) หันมาพิจารณามาตรการดังกล่าวร่วมกัน
ที่มา : หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 30 ตุลาคม 2560
วันที่ 1 มกราคม 2561 เป็นต้นไป จีนจะสามารถส่งรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาขายในเมืองไทยโดยไม่ต้องเสียภาษีแม้แต่บาทเดียว ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงการค้าอาเซียน-จีน หรือ "เอฟทีเอ" เป็นที่ทราบกันดีว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันมีนโยบายสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า พยายามจูงใจให้ค่ายรถต่างๆ มาตั้งโรงงานผลิตหวังให้ไทยเป็นศูนย์กลาง หรือฮับ การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาค แต่เมื่อมีเงื่อนไขในข้อตกลงการค้าอาเซียนจีน กรณีรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้ ส.อ.ท. เรียกร้องให้รัฐบาลและกระทรวงที่เกี่ยวข้องเร่งทบทวนข้อตกลงดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าอัตราภาษี 0% อาจส่งผลกระทบต่อแผนส่งเสริมต่างชาติใช้ไทยเป็นฐานการลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาค เนื่องจากราคารถยนต์อีวีที่นำเข้าจากประเทศจีนตามข้อตกลงจะถูกกว่าการลงทุนผลิตในประเทศมาก นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท. ออกโรงแนะแนวทางว่า อยากให้ถอดรถยนต์ไฟฟ้าออกมาจากกรอบเอฟทีเอ แลกกับสินค้าประเภทอื่นแทน หรือไม่เช่นนั้นต้องหาแนวทางอื่นๆ เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เช่น การออกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ชั้นสูง เป็นต้น ความห่วงใยของเอกชนในเรื่องนี้ไม่เพียงแค่ ส.อ.ท. เท่านั้น หากแต่บรรดาค่ายรถยนต์เองก็กังวลในระดับหนึ่ง
ที่มา : หนังสือพิมพ์ มติชนสุดสัปดาห์ วันที่ 27 ตุลาคม 2560
"รถเมล์ไฟฟ้า" ที่ไม่ปล่อยไอเสียในระหว่างสัญจร ออกมาวิ่งทั่วเมืองมากยิ่งขึ้นเพื่อลดมลพิษในอากาศ ในขณะนี้กรุงปักกิ่งของจีนนับว่ามีความก้าวหน้ามากที่สุดในการใช้รถเมล์ไฟฟ้า โดยล่าสุดทางรัฐบาลท้องถิ่นได้เปิดตัวรถเมล์ไฟฟ้าพร้อมเครื่องฟอกอากาศอีก 10 คัน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อใช้ลดปริมาณอากาศเสียบริเวณใจกลางเมืองโดยเฉพาะ โดยเครื่องฟอกอากาศบนรถจะช่วยเพิ่มคุณภาพอากาศได้ นอกจากนี้ ทางการยังเตรียมใช้งานรถเมล์ไฟฟ้าให้ได้อย่างน้อย 4,500 คัน ภายในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบันที่มีอยู่ 1,300 คัน ทั้งนี้ กรุงปักกิ่งเป็นเมืองที่มีปัญหามลพิษทางอากาศมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก โดยปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ซึ่งสามารถเล็ดลอดเข้าสู่กระแสเลือดและอวัยวะต่างๆ ในร่างกายได้ อยู่ที่ 73 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตรแล้วเมื่อปี 2016 สูงกว่าคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (ดับเบิ้ลยูทีโอ) ที่ไม่เกิน 10 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร
ที่มา : หนังสือพิมพ์ โพสต์ ทูเดย์วันที่ 26 ตุลาคม 2560
In September 2017, commercial vehicle registrations across the EU remained stable (+0.6%) compared to one year ago. Performances were diverse across the CV segments, with registrations of vans showing a modest increase (+2.1%) but demand for new trucks and buses falling (-6.5% and -9.9% respectively). Spain and Germany were the only markets among the big five to post growth (up 7.8% and 5.5%), while the United Kingdom (-6.0%) and Italy (-1.0%) performed less well than in September last year. Over nine months in 2017, demand for new commercial vehicles remained positive in the EU, with almost 1.8 million new vehicles registered – up 3.3%. Spain continued to drive growth (+14.4%), followed by France (+6.5%), Germany (+2.2%) and Italy (+1.6%). By contrast, CV registrations declined in the United Kingdom (-3.3%) so far in 2017.
ที่มา : acea.be วันที่ 25 ตุลาคม 2560
รถยนต์พระที่นั่งองค์แรกแห่งราชสำนักไทยมีการบันทึกไว้ว่าพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ที่รู้จักกันว่าเป็น “พระบิดาแห่งกฎหมายไทย” พระราชโอรสองค์ที่ 14 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งเสด็จฯทรงรักษาตัวที่ประเทศฝรั่งเศส ได้ซื้อรถเดมเลอร์ เบนซ์ (Daimler Benz)มาไว้ใช้งาน และเมื่อเสด็จฯกลับสยาม ก็ได้ถวายแก่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไว้ใช้เป็นราชยานยนต์ส่วนพระองค์เป็นคันแรก รถยนต์พระที่นั่งส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 สมัยประทับอยู่เมืองโลซานประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ คือ“เมอร์เซเดส-เบนซ์ นูร์เบิร์ก 500 (Mercedes-Benz Nurburg 500)” ซึ่งเป็นรถยนต์พระที่นั่งที่รัฐบาลไทยจัดถวาย รถยนต์ฝรั่งเศสที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 โปรดและเสด็จฯทอดพระเนตร ยี่ห้อเดอลาเฮย์ (Delahaye)ผลิตในกรุงปารีส โดยทรงซื้อรถยนต์พระที่นั่งส่วนพระองค์จากเดอลาเฮย์ถึง 4 คัน คือเดอลาเฮย์ โมเดล 135สองประตูเปิดประทุน คาบริโอเล่ต์,เดอลาเฮย์ โมเดล 178เครื่องยนต์หกสูบ สามคาร์บิวเรเตอร์แบบรถแข่ง ตัวถังซาลูน,เดอลาเฮย์โมเดล 178เครื่องยนต์หกสูบ คาร์บิวเรเตอร์เดี่ยว เดิมเป็นตัวถังซาลูน ต่อมาปรับปรุงเป็นแวก้อนติดซันรู้ฟโดยบริษัท ไทยประดิษฐ์, และเดอลาเฮย์ โมเดล 180ตัวถังลีมูซีน เครื่องยนต์หกสูบ สามคาร์บิวเรเตอร์ ฐานล้อยาว มีกระจกกั้นกลางห้องโดยสารกับห้องคนขับ
ที่มา : หนังสือพิมพ์ แนวหน้า วันที่ 24 ตุลาคม 2560
สมชาย หาญหิรัญ อดีตปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม มองเห็นการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมไทย มาทุกยุค ขยายความให้ฟังว่า ภาคอุตสาหกรรม ของไทยเติบโตตามนโยบายส่งเสริมการลงทุน ของรัฐบาล โดยในช่วงปี 2528- 2529 เกิด "จุดเปลี่ยน" สำคัญทำให้อุตสาหกรรมไทย เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมาจาก 2 ปัจจัยหลักๆ ได้แก่ 1. การค้นพบก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย และการเริ่มต้นพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก หรือ อีสเทิร์นซีบอร์ด และ 2. ประเทศญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในไทยเป็นจำนวนมาก เนื่องจากประเทศต่างๆขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่น กลายเป็น "แรงกดดัน"ให้ญี่ปุ่นต้องปรับค่าเงินเยน ให้แข็งค่าขึ้นเกือบเท่าตัว จึงต้องหาทางออกด้วยการย้ายฐานไปผลิตในประเทศอื่น จึงมุ่งมาลงทุนที่อิสเทิร์นซีบอร์ดเป็นจำนวนมากเพราะมีก๊าซธรรมชาติ
ที่มา : หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 23 ตุลาคม 2560
นายณัฐพล รังสิตพล เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.) เปิดเผยว่า ข้อตกลงเขตการค้าอาเซียน - จีน (เอซีเอฟทีเอ) จะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 มกราคม 2561 นี้ โดยขณะนี้มีความกังวลประเด็นการนำเข้ารถยนต์นั่งไฟฟ้าที่ภาษีจะเหลือ 0% อาจส่งผลกระทบต่อแผนส่งเสริมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทย เนื่องจากราคารถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) จากประเทศจีนถูกกว่า ประเด็นนี้ สมอ.ต้องขอหารือกับผู้บริหาร กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ก่อน โดยก่อนหน้านี้ ทางกรมศุลได้แจ้งมามายังสมอ.แล้วว่า มีความประสงค์หารือร่วมกับสมอ.ถึงแนวทางการดูแลเรื่องนี้ นายณัฐพลกล่าวว่า สำหรับบทบาทของสมอ.ต่อการกำกับดูแลรถยนต์ไฟฟ้า(อีวี)ได้กำหนดแผนงานอย่างชัดเจนในการกำหนดมาตรฐาน ปลั๊กสำหรับชาร์จรถอีวี แบตเตอรี่ ซึ่งปัจจุบันมีการกำหนดมาตรฐานทั่วไปปลั๊กแล้ว 6 ประเภท ขณะนี้ทราบว่า กระทรวงพลังงาน เตรียมเสนอให้กำหนดเหลือ 2 ประเภท เพื่อให้การจัดตั้งสถานีชาร์จมีความคล่องตัวมากขึ้น ขณะที่แบตเตอรี่จะมีการจัดตั้งห้องทดสอบ(แล็บ)ภายในปี 2562 มีสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ดูแล ซึ่งแบตเตอรี่จะกำหนดเป็นมาตรฐานบังคับเพราะหากไม่ได้มาตรฐานจะเป็นระเบิดขนาดใหญ่ ที่อยู่ใกล้ผู้ใช้รถ โดยจะมีการประกาศหลังปี 2562 นอกจากนี้ สมอ. อยู่ระหว่างการกำหนดมาตรฐานด้านการท่องเที่ยวและบริการ เช่น มาตรฐานด้านความสะอาด สารที่ใช้ปรุงแต่ง ฯลฯ ตลอดจนการกำหนดมาตรฐานของอุตสาหกรรมสนับสนุนด้านการท่องเที่ยว อาทิ กลุ่มของฝาก ของที่ระลึก ที่อยู่อุตสาหกรรมอาหาร สิ่งทอ โดยกลุ่มนี้จะมี 2 มาตรฐานหลักดูแล คือ มาตรฐานอุตสาหกรรมสำหรับเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ(เอสเอ็มอีไลท์) ซึ่งสมอ.กำลัง จัดทำคาดว่าจะเริ่มบังคับใช้ช่วงต้นปี 2561 และมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน(มผช.)ซึ่งดำเนินการอยู่แล้ว
ที่มา : หนังสือพิมพ์ แนวหน้า วันที่ 20 ตุลาคม 2560
นายเจน นำชัยศิริ ประธานสภาอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยว่าดัชนีเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทยเดือนกันยายน 2560 ปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่2อยู่ที่ระดับ 86.7 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนอยู่ที่ระดับ 85.0 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 6 เดือนจากเดือนเมษายนอยู่ที่ระดับ 86.4 ส่วนดัชนีคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 102.9 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนอยู่ที่ระดับ 101.9 เนื่องจากผู้ประกอบการเห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีทิศทางขยายตัวต่อเนื่องจากการบริโภคภายในประเทศ การส่งออก การลงทุนและการใช้จ่ายของภาครัฐ ส่งผลให้มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะคำสั่งซื้อจาก ต่างประเทศเพื่อส่งมอบในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ประกอบกับการบริโภคภายในประเทศเริ่มมีสัญญาณที่ดี เห็นได้จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 80.3 จากเดือนก่อนหน้า อยู่ที่ 77.8 โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดย่อม ที่ดัชนีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรก ในรอบ 6 เดือน อยู่ที่ระดับ 70.6 หลังจากเดือนมีนาคมที่ผ่านมาปรับลดลงติดต่อกัน
ที่มา : หนังสือพิมพ์ แนวหน้า วันที่ 19 ตุลาคม 2560