สมัครสมาชิกวันนี้

  • Silver
  • สมาชิกระดับ Silver
  • ฟรี
  • สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารขั้นพื้นฐานได้
  • ข้อมูลผู้ประกอบการต่างประเทศ
  • ข้อมูลสถิติในประเทศและต่างประเทศ
  • มาตรการทางการค้าระหว่างประเทศ
  • กฎ ระเบียบ นโยบายในประเทศ
  • เทคโนโลยี และงานวิจัย
  • สมัครสมาชิก

                     ยานยนต์ไฟฟ้า ส่วนแบ่งของรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดยานยนต์ของจีน อเมริกา และสหภาพยุโรป ถูกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องใน 20 ปีข้างหน้า การคาดการณ์ของการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่มากขึ้นมาจากการที่หลายประเทศได้เริ่มออกนโยบายยับยั้งการใช้รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ระบบเผาไหม้ภายใน โดยจะมีผลบังคับใช้ระหว่างปี 2568-2583   ถึงแม้ยอดขายยานยนต์ไฟฟ้าจะคิดเป็นร้อยละ 1 ของยอดขายรถยนต์ในปัจจุบัน แต่ภายในปี 2583 กว่าร้อยละ 50 ของรถใหม่จะเป็นยานยนต์ไฟฟ้า ดังนั้น สัดส่วนของยานยนต์ไฟฟ้าในยานยนต์ขนาดเล็กของทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1 ในปัจจุบันเป็นร้อยละ 30 ในปี 2583 ซึ่งตรงกับการคาดการณ์ของผู้ผลิตรายใหญ่ต่าง ๆ ที่ได้ตั้งเป้าการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าไว้ที่ 20 ล้านคันต่อปีภายในปี 2568  ไทยมีบทบาทอย่างมากในตลาดยานยนต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในฐานะผู้ผลิตหลักของเครื่องยนต์ดั้งเดิมต่าง ๆ ผลิตรถยนต์และรถบรรทุกมากกว่า 2.6  ล้านคันในปี 2558 ไทยจำเป็นต้องปรับทิศทางการผลิตยานยนต์ไปในการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่เกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น เพราะหากผู้ผลิตยานยนต์เปลี่ยนไปผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและไม่เลือกที่จะผลิตยานยนต์ในไทย แรงงานกว่า 650,000 ราย อาจได้รับความเสี่ยง เนื่องจากแรงงานกว่า 450,000 ราย ทำงานกับผู้ผลิตเทียร์ 1 เทียร์ 2 และเทียร์ 3 มีแรงงาน 1 แสนราย ทำงานกับอุตสาหกรรมสนับสนุนต่าง ๆ และอีก 1 แสนราย ทำงานกับโรงงานประกอบรถยนต์

ที่มา: หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์  วันที่ 26  เมษายน 2561

 

               นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า สำหรับยอดผลิตรถยนต์ปี 2561 ทั้งหมด 2,000,000 คัน ขายในประเทศตั้งเป้าไว้ที่ 900,000 คัน ส่งออก 1,100,000 คัน คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งชิ้นส่วน รถจักรยานยนต์กว่า 1 ล้านล้านบาท  และยังพบว่ายอดขายรถกระบะเพิ่มขึ้นมีอัตราการเติบโตถึง 11% บวกกับจากงานมอเตอร์โชว์ที่ทำให้รถนั่งส่วนบุคคล (เก๋ง) ยอดขายจำนวนมาก และโครงการขนาดใหญ่จากทางภาครัฐที่หากสามารถเดินหน้าการก่อสร้างได้โอกาสที่รถยนต์ขนาดใหญ่จะโตตามไปด้วย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะดันให้ยอดขายรถยนต์ปีนี้ถึงเป้า  สำหรับยอดการผลิต 3 เดือน (ม.ค.-มี.ค.) จำนวน 539,690 คัน เทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้วเพิ่มขึ้น 11.15% ผลิตเพื่อส่งออก 300,717 คัน เพิ่มขึ้น 4.31% ผลิตเพื่อขายในประเทศ 238,973 คัน เพิ่มขึ้น 21.15% รถจักรยานยนต์ 695,618 คัน เพิ่มขึ้น 5% เป็นยอดขายรถยนต์ในประเทศ 237,093 คัน เพิ่มขึ้น 12.6% รถจักรยานยนต์ยอดขาย 465,093 คัน เพิ่มขึ้น 0.7% การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 295,230 คัน เพิ่มขึ้น 3.84% มีมูลค่าการส่งออก 153,214 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ส่งออก 252,986 คัน ลดลง 0.06% มีมูลค่า 16,402 ล้านบาท
ที่มา : หนังสือพิมพ์ เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ  วันที่ 25  เมษายน 2561

 

                 แม้ว่าศึกพิพาทการค้าระหว่างจีนและสหรัฐจะยังคุกรุ่นและยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ว่าจะจบลงแบบไหน แต่อย่างน้อยที่สุดก็พอจะมองเห็นเค้าลางได้ว่า  น่าจะบรรเทาลงด้วยการประนีประนอมยอมเจรจากันได้ เมื่อจีนกำลังงัดกลยุทธ์ทั้งไม้แข็งและไม้อ่อนมาทั้งขู่ ทั้งปลอบสหรัฐ   และหนึ่งในกลยุทธ์ไม้อ่อนที่จีนเป็นฝ่ายยอมโอนอ่อนให้ครั้งใหญ่ก็คือ "การเปิดตลาดรถยนต์จีน" ที่เป็นตลาดขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และยังนับเป็นการผ่อนคลายครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปีของจีน     เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คณะกรรมการปฏิรูปและพัฒนาแห่งชาติของจีน (เอ็นดีอาร์ซี) ระบุว่า เตรียมจะประกาศยกเลิกข้อจำกัดการถือหุ้นของบริษัทรถยนต์ต่างชาติในบริษัทร่วมทุนกับจีนเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี โดยจะเปิดทางให้สามารถถือหุ้นกับบริษัทร่วมค้าในจีนได้มากกว่า 50% ท่ามกลางแรงกดดันของต่างชาติที่ต้องการเข้ามาชิงส่วนแบ่งการตลาดในตลาดรถแดนมังกร    ที่ผ่านมาจีนตั้งข้อจำกัดมาตั้งแต่ปี 1994 ให้บริษัทต่างชาติที่จะเข้ามาเจาะตลาดรถยนต์ในจีนที่มีกำลังซื้อมหาศาลนั้น จะต้องเข้ามาผ่านการตั้งบริษัทร่วมค้ากับจีน โดยสามารถถือหุ้นได้ไม่เกิน 50% เพื่อหวังซื้อเวลาให้บริษัทจีนได้รับการถ่ายโอนทางเทคโนโลยีและสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์เองได้ จนกระทั่งในปัจจุบัน บริษัทต่างชาติโดยเฉพาะในสหรัฐและยุโรปเริ่มร้องเรียนหนักขึ้นว่า ถึงเวลาที่จีนต้องเปิดตลาดมากขึ้นได้แล้ว    ทั้งนี้ รัฐบาลจะปลดเพดานจำกัดการถือหุ้นของบริษัทรถต่างชาติแบบทยอยต่างกันไปในแต่ละกลุ่ม โดยคาดว่าอาจเริ่มต้นที่กลุ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (อีวี) ก่อนเป็นอันดับแรก โดยอาจปลดล็อกการถือหุ้นได้เร็วที่สุดภายในปี 2018 นี้ ก่อนจะทยอยปลดล็อกสำหรับกลุ่มรถเพื่อการพาณิชย์ อาทิ รถบรรทุก ภายในปี 2020 และรถส่วนบุคคล ภายในปี 2022

ที่มา: หนังสือพิมพ์ โพสต์ ทูเดย์วันที่ 24  เมษายน 2561