ปัจจุบันมีเทคโนโลยีดิจิทัลช่วยเพิ่มทางเลือกในการเดินทางให้กับผู้บริโภคในประเทศไทย โดยเฉพาะระบบนิเวศด้านยานยนต์ไฟฟ้า
ที่คาดว่าภายในปี 2573 ไทยตั้งเป้าผลิตประมาณ 30% ของกำลังการผลิตรถยนต์ทั้งหมด หนึ่งในตัวอย่างของความมุ่งมั่นเพื่อการพัฒนาด้านคมนาคมของรัฐบาล ที่เห็นได้ชัดคือเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ใน 3 จังหวัดรอบอ่าวไทย ได้แก่ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา เป็นการพัฒนาการเชื่อมต่อการคมนาคมทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศในระดับภูมิภาคอย่างจริงจัง
การลงทุนของภาครัฐในโครงสร้างพื้นฐานนั้นได้กลายเป็นนโยบายอันดับต้นๆ ของประเทศ โดย 70% ของงบการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทยระหว่างปี 2558-2565 ที่มีมูลค่ากว่า 75,000 ล้านดอลลาร์ เป็นการลงทุนเพื่อการพัฒนาด้านการคมนาคมขนส่ง โดยเน้นไปที่การปรับปรุงรางรถไฟเพื่อลดการขนส่งทางถนน ซึ่งในปัจจุบันเราใช้ทางถนนซึ่งเป็นเส้นทางการเดินทางหลักของผู้โดยสาร เพื่อการขนส่งสินค้าถึง 85% การพัฒนาการคมนาคมสัญจรสำคัญๆ ยังรวมไปถึงการเพิ่มข้อกำหนดในเรื่องเชื้อเพลิงชีวภาพสำหรับน้ำมันเบนซิน อี20 (E20) และเชื้อเพลิงดีเซล บี10 และบี20 (B10, B20) ความต้องการใช้น้ำมันเกรดพรีเมียมที่มีการปล่อยมลพิษต่ำ การมองหาทางเลือกรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ เช่น เซลล์เชื้อเพลิงไบโอเอทานอล และการพัฒนาระบบการกำหนดราคาคาร์บอนจากรัฐบาล
เราจะเห็นได้ชัดเจนว่าการตอบโจทย์ความท้าทายด้านการคมนาคมสัญจรของไทยนั้นมีหลากหลายแนวทางและเมื่อผู้คนเริ่มตระหนักให้ความสำคัญในเรื่องความยั่งยืนและการลดการปล่อยคาร์บอนมากขึ้น ประเทศก็ต้องการการพัฒนาด้านการคมนาคมสัญจรเพื่อตอบรับกับความต้องการของประเทศ ควบคู่ไปกับการคำนึงถึงเรื่องระบบนิเวศของเชื้อเพลิง และข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันเชื้อเพลิงต่างๆ
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าเราจะมีโซลูชั่นเพื่อตอบรับกับความท้าทายเหล่านี้อย่างไร สิ่งสำคัญสำหรับทุกโซลูชั่นคือ ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งจากรัฐบาล อุตสาหกรรม และผู้บริโภค ที่จะร่วมกันมองหาแนวทางในการรับมือตอบรับกับเทรนด์ด้านพลังงาน และไม่มีหน่วยงานใดหรือใครเลยที่สามารถดำเนินการนี้ให้สำเร็จได้เพียงลำพัง และประเทศไทยของเรา
ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/914394 วันที่ 28 ธ.ค. 63