สมัครสมาชิกวันนี้

  • Silver
  • สมาชิกระดับ Silver
  • ฟรี
  • สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารขั้นพื้นฐานได้
  • ข้อมูลผู้ประกอบการต่างประเทศ
  • ข้อมูลสถิติในประเทศและต่างประเทศ
  • มาตรการทางการค้าระหว่างประเทศ
  • กฎ ระเบียบ นโยบายในประเทศ
  • เทคโนโลยี และงานวิจัย
  • สมัครสมาชิก

จากรายงานผลการวิจัยของ BloombergNEF (BNEF) คาดการณ์ว่ารถยนต์ไฟฟ้า หรือ EVs (Electric Vehicles) กำลังเดินหน้าสู่การเป็นเจ้าตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถบัสภายในปี 2583 และจะคืบคลานเข้ามามีบทบาทอย่างมากในตลาดรถตู้และรถบรรทุกสำหรับการใช้งานในระยะทางใกล้โดยจากการวิเคราะห์บนสถานการณ์ของอุตสาหกรรมรถยนต์ประเภทต่างๆ รวมถึงปัจจัยของแต่ละตลาดที่กำลังเปลี่ยนแปลง ชี้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะครองตลาดถึง 57% ของยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลภายในปีพ.ศ.2583 และคาดว่ารถบัสไฟฟ้าจะได้ส่วนแบ่งตลาดถึง 81% ของรถบัสที่ใช้ในเมืองในระยะเวลาเดียวกัน ชี้ให้เห็นว่ารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต่างๆจะครองตลาด 56% ของยอดขายรถยนต์เชิงพาณิชย์ขนาดกลางและขนาดเล็กในยุโรป อเมริกาและจีนภายใน2ทศวรรษข้างหน้า แต่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้ยากที่สุดคือรถบรรทุก โดยมีการคาดการณ์ว่าจะครองตลาดได้เพียง 19% ภายในปีพ.ศ.2583  ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ขับขี่ในระยะทางสั้น และรถกระบะขนาดใหญ่รุ่นทั่วไปที่ใช้กับงานระยะทางไกลจะเผชิญกับการแข่งขันในรูปแบบอื่นจากการใช้พลังงานทางเลือก เช่น แก๊สธรรมชาติและเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน นายโคลิน แม็คเคอราเซอร์ หัวหน้าแผนกยานยนต์ล้ำหน้าของ BNEF กล่าวว่า เราพบว่ายานยนต์ที่ขับเคลื่อนโดยพลังงานฟอสซิลเกือบทั้งหมดจะหมดไปบนท้องถนน แม้การเปลี่ยนมาใช้พลังงานไฟฟ้าในรถยนต์ยังคงต้องใช้เวลาเพราะการเปลี่ยนรุ่นรถยนต์ในโลกยังเป็นไปอย่างช้าๆ แต่ถ้าหากดำเนินมาถึงช่วงปีพ.ศ.2563-2572แล้ว ความนิยมก็จะเริ่มขยายเข้าสู่ยานยนต์ในหลายๆหมวด เราคิดว่ามีความเป็นไปได้มากทีเดียวที่ยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลรุ่นธรรมดาในตลาดโลกได้เลยจุดสูงสุดมาแล้วนายอาลี อิชาตี้ขนาจาฟายาดี้ หัวหน้าหลักในการวิเคราะห์การแบ่งปันยานพาหนะร่วมกัน (Shared mobility) กล่าวว่า ผู้ให้บริการแบ่งปันยานพาหนะร่วมกันจะเลือกเปลี่ยนมาให้บริการด้วยรถยนต์ไฟฟ้าเร็วกว่าผู้ใช้ทั่วไป ในปัจจุบันมีผู้ใช้บริการแบ่งปันยานพาหนะร่วมกันเช่นรถยนต์โดยสารถึง 1พันล้านคนทั่วโลก บริการนี้นับวันจะเติบโตขึ้นและจะค่อยๆลดความต้องการในการเป็นเจ้าของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแต่อย่างไรก็ตาม ตัวขับเคลื่อนหลักสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในช่วง 20ปีข้างหน้าคือราคาที่ลดลงอย่างมากของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะเป็นผลให้นับจากช่วงกลางหรือปลายปี 2563 เป็นต้นไปนั้น รถยนต์ไฟฟ้าจะมีราคาถูกกว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ในแทบทุกตลาด ทั้งด้านค่าใช้จ่ายตลอดอายุการใช้งานและค่าใช้จ่ายเฉพาะหน้า นับตั้งแต่ปีพ.ศ.2554 เป็นต้นมา ต้นทุนเฉลี่ยของแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงลดลงถึง 85% เนื่องจากการประหยัดต้นทุนการผลิตจากขนาด (Economy of scale) ผสมกับการพัฒนาเทคโนโลยีรายงานของ BNEF ยังคาดการณ์ด้วยว่าประเทศจีนยังคงเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะครองส่วนแบ่งตลาด 48% และ 26% ของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดที่จำหน่ายในปีพ.ศ.2568 และ พ.ศ.2583 ตามลำดับ และครองอันดับที่สองในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกในช่วงปีพ.ศ.2563 ถึง พ.ศ.2572

ที่มา : หนังสือพิมพ์ สยามธุรกิจ ฉบับวันที่ 10 กรกฎาคม 2562