สมัครสมาชิกวันนี้

  • Silver
  • สมาชิกระดับ Silver
  • ฟรี
  • สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารขั้นพื้นฐานได้
  • ข้อมูลผู้ประกอบการต่างประเทศ
  • ข้อมูลสถิติในประเทศและต่างประเทศ
  • มาตรการทางการค้าระหว่างประเทศ
  • กฎ ระเบียบ นโยบายในประเทศ
  • เทคโนโลยี และงานวิจัย
  • สมัครสมาชิก

            ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการแล้ว แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาสำหรับผู้ขับขี่รถยนต์ไม่พ้นปัญหาอุปสรรคต่างๆที่ต้องพบเจอ สำคัญที่สุดคือ อุบัติเหตุจากฝนตกหนัก น้ำขัง ถนนลื่น และอื่นๆ ฟอร์ดประเทศไทย จึงแนะนำเคล็ดลับเล็กๆ เพื่อการขับขี่ปลอดภัยในช่วงหน้าฝน เริ่มจาก

1.       เตรียมรถให้พร้อม ผู้ขับขี่ควรตรวจเช็คดูแลรถยนต์และเข้าศูนย์บริการอย่างสม่ำเสมอ โดยควรให้ความสนใจสิ่งเหล่านี้เป็นพิเศษ คือใบปัดน้ำฝน เพื่อปัดน้ำฝน เพื่อบัดน้ำฝนไม่ให้บดบังวิสัยทัศน์ซึ่งปกติมีระยะเวลาใช้งานประมาณ 1 ปี น้ำฉีดกระจก เตรียมไว้ในกรณีที่มีดินหรือโคลนกระเด็นใส่กระจกหน้าด้วยเหตุนี้เอง จึงควรเช็คปริมาณน้ำฉีดกระจกและเติมน้ำสะอาดในถังน้ำฉีดกระจกให้ถึงขีดที่กำหนดทุกเดือน ไฟหน้า-ไฟหลังรถ ช่วยให้มองเห็นข้างหน้าได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นและให้รถคันอื่นมองเห็นรถของคุณ และสภาพยาง เพื่อให้ล้อรถอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ควรเปลี่ยนยางรถทุก 4-5 ปี เนื่องจากโดยทั่วไปอายุของยางรถมักจะไม่เกิน 6 ปี นับตั้งแต่วันที่ผลิตหรือควรเปลี่ยนยางเมื่อสภาพไม่อำนวยต่อการขับขี่อย่างปลอดภัย เช่น โครงสร้างของยางชำรุด ความลึกของดอกยางต่ำกว่า 3 มิลลิเมตร เป็นต้น

2.       วิธีการขับรถไม่ให้ไถล เนื่องจกาฝนตกทำให้ถนนเปียกและลื่นรวมถึงการยึดจับของยางกับถนนจะลดลงเมื่อขับเร็วขึ้น ดังนั้น การขับรถเร็วเกินความเหมาะสมในขณะที่ถนนเปียก จะส่งผลให้รถเสียหลักและไถลลื่นได้ โดยการใช้ความเร็วที่เหมาะสมกับสถานการณ์ ซึ่งไม่ควรขับเกิน 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพื่อหลีกเลี่ยงการเหินน้ำของรถ ป้องกันการลื่นไถลและเพื่อที่ผู้ขับจะสามารถควบคุมรถได้

3.       รับมือกับบฝนตกหนักจนมองไม่เห็นถนน หากฝนตกในช่วง 10 นาทีแรก ควรเริ่มลดความเร็ว หากฝนตกหนักเกินกว่าที่ผู้ขับขี่จะสามารถมองเห็นถนนและข้างทางและไม่สามารถขับรถต่อได้อย่างปลอดภัยได้ ผู้ขับขี่ควรหาจุดจอดรถที่ปลอดภัยได้ ผู้ขับขี่ควรหาจุดจอดรถที่ปลอดภัย และโทร.แจ้งสถานการณ์ต่อคนใกล้ชิดหรือคนรู้จัก

4.       ห้ามเบรกกระทันหัน เป็นเหตุการณ์อาจเกิดขึ้นเมื่อฝนตก การเบรกกะทันหันบนถนนเปียกอาจส่งผลให้เบรกไม่อยู่ เสียการควบคุมรถ จนเกิดอุบัติเหตุได้ดังนั้น ผู้ขับขี่จึงควรทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้ามากกว่าปกติ หรือราว 2 เท่าของระยะทิ้งห่างเมื่อขับรถในสภาพอากาศปกติ เพื่อให่สามารถหยุดรถได้อย่างทันท่วงที ไม่ต้องเบรกอย่างกะทันหัน และหลีกเลี่ยงการชนคนเดินถนนหรือรถคันอื่นบนท้องถนน

5.       ขับรถลุยน้ำยังไงไม่ให้ดับ เมื่อพบว่าถนนที่ขับไปมีน้ำท่วมขังหรือแอ่งน้ำ ให้สังเกตระดับความลึกของน้ำจากฟุตบาทและสภาพแวดล้อมข้างทาง หรือจากรถคันหน้า เพื่อประเมินความลึกของสถานการณ์ ถ้าระดับน้ำไม่สูงมากสามารถขับผ่านไปได้ เบื้องต้นควรปิดแอร์และใช้เกียร์ต่ำ แต่ถ้าระดับน้ำสูงเกินอละฝืนขับอาจาจะส่งผลให้น้ำเข้าเครื่องยนต์และเกิดความเสียหายต่อรถได้

ที่มา : หนังสือพิมพ์ ข่าวสด ฉบับวันที่ 5 มิถุนายน 2562