นับตั้งแต่เดือนม.ค.2023 จนถึงเดือนมิ.ย.ปีนี้ บริษัท “บีวายดี” (BYD Co.) ขายรถยนต์ไปได้เพียง 5,300 คัน แม้ว่าจะเปิดสาขามากถึง 45 แห่งทั่วญี่ปุ่น และประกาศแผนเตรียมเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเล็ก “kei” หรือกลุ่มรถยนต์ขนาดเล็ก (K-car)
ในปลายปี 2026 ก็ตาม มาตรการต่างๆ ที่ผ่านมาไม่ได้ช่วยกระตุ้นความต้องการซื้อมากนักในญี่ปุ่น โดยเฉพาะวิธีการลดราคา ซึ่งอาจส่งผลเสียแทน เพราะอาจทำให้ผู้ซื้อในช่วงแรกรู้สึกว่า “ถูกหลอก” ที่ต้องจ่ายราคาแพงกว่าคนที่ซื้อทีหลัง และส่งผลกระทบต่อราคาขายต่อ วิธีนี้อาจทำให้ผู้ซื้อลังเลว่าราคารถยนต์จะตกลงไปถึงจุดไหน และคนท้องถิ่นก็นิยมใช้แบรนด์ญี่ปุ่นเก่าแก่ โดยหากดูส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ในญี่ปุ่นปีนี้จะพบว่า 5 บริษัทแรกที่ครองตลาดล้วนเป็นค่ายรถญี่ปุ่นทั้งหมด นำโดย โตโยต้า และเลกซัส, นิสสัน, ฮอนด้า, ซูซูกิ และไดฮัทสุ ตามลำดับ นอกจากปัจจัยเรื่องชาตินิยมแล้ว ผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้ “เปิดใจ” ให้กับรถไฟฟ้าล้วน (BEV) มากนัก และเลือกที่จะใช้รถยนต์ไฮบริดแทนมากกว่า ดังนั้น ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในญี่ปุ่นในปีนี้คาดว่าจะทำได้เพียง 3.4% ก่อนที่จะโตขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า จากการคาดการณ์ของบลูมเบิร์ก แต่ถึงอย่างนั้น บีวายดีก็ยังต้องพัฒนาอีกมากเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดจากค่ายรถญี่ปุ่น เพราะขณะเดียวกัน ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นรายอื่นๆ ก็กำลังเข้าสู่ตลาดนี้เช่นกัน
ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/world/1201236 วันที่ 21 ตุลาคม 2568