สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า กระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้กำหนดภาษีตอบโต้ที่อัตรา 93.5% สำหรับ “แกรไฟต์จากจีน” ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของแบตเตอรี่ หลังจากได้ข้อสรุปว่า วัตถุดิบดังกล่าวได้รับการอุดหนุนอย่างไม่เป็นธรรม เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
สมาคมการค้าที่เป็นตัวแทนผู้ผลิตแกรไฟต์ของสหรัฐ ได้ยื่นคำร้องต่อหน่วยงานรัฐบาลกลางสองแห่ง เพื่อขอให้มีการสอบสวนบริษัทจีนละเมิด “กฎหมายการทุ่มตลาด” หรือไม่ ภาษีใหม่นี้จะเพิ่มอัตราภาษีที่มีอยู่เดิม ทำให้ภาษีที่เรียกเก็บจริงอยู่ที่ 160% ตามข้อมูลของ American Active Anode Material Producers ซึ่งเป็นกลุ่มการค้าที่ยื่นเรื่องร้องเรียนดังกล่าว การเรียกเก็บภาษีนี้ คาดว่าจะเพิ่มความตึงเครียดในห่วงโซ่อุปทานยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ทั่วโลก ซึ่งกำลังเผชิญกับการควบคุมการส่งออกแร่ธาตุสำคัญ และเทคโนโลยีแบตเตอรี่บางชนิดของจีน ส่งผลให้หุ้นของซัพพลายเออร์แบตเตอรี่ปรับตัวลดลง ในขณะที่ผู้ผลิตแกรไฟต์ในอเมริกาเหนือ กลับมีราคาพุ่งสูงขึ้น สำหรับ “แกรไฟต์” ถือเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตขั้วแอโนดของแบตเตอรี่ โดยเมื่อปีที่แล้ว มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์แกรไฟต์เข้าสู่สหรัฐเกือบ 180,000 ตัน ซึ่งประมาณ 2 ใน 3 ของการนำเข้าเหล่านี้มาจากประเทศจีน ปัจจุบัน จีนเป็นผู้ครองอำนาจในด้านกำลังการผลิตแกรไฟต์ นอกจากนี้ ภาษีเพิ่มเติมสำหรับแบตเตอรี่ จะยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่ออุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน แม้ว่าการจัดเก็บพลังงานจะยังคงได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่สำคัญในร่างงบประมาณของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แต่กฎระเบียบของกระทรวงการคลังที่จำกัดการใช้เซลล์แบตเตอรี่จากจีน ทำให้การปฏิบัติตามกฎระเบียบเป็นเรื่องยากสำหรับผู้พัฒนาหลายราย และความเสี่ยงด้านห่วงโซ่อุปทาน อาจชะลอการเติบโตของการจัดเก็บพลังงานในโครงข่ายไฟฟ้าของสหรัฐ
ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/world/1190046 วันที่ 16 สิงหาคม 2568