บีเอ็มดับเบิลยู ถือเป็นแบรนด์พรีเมี่ยมที่มี EV ทำตลาดมากที่สุด ทั้ง i5, iX2, iX3, i4, i7 และ iX ส่งผลให้ส่วนแบ่งการตลาด(EV พรีเมี่ยม) ของบีเอ็มดับเบิลยู เพิ่มขึ้นจาก 13.5% เป็น 22.6% ในปีพ.ศ. 2567
ส่วนแบรนด์มินิ ที่นำเข้า Cooper SE, ACEMAN มาจากจีน และ COUNTRYMAN SE ALL4 จากเยอรมนี ยังส่งเสริมให้ยอดรวมมินิทุกรุ่นทั้งปีทำได้ 1,451 คัน เพิ่มขึ้น 7.6% เมื่อเทียบกับปีพ.ศ. 2566 ด้วยเศรษฐกิจภาพรวม สัดส่วนหนี้เสีย และสถาบันการเงินคุมเข้มสินเชื่อ ทำให้ตลาดรถยนต์เผชิญภาวะยากลำบาก บวกกับการทำสงครามราคาในตลาด ส่งผลให้ปีพ.ศ. 2567 บีเอ็มดับเบิลยู ทำยอดขาย 12,208 คัน ลดลง 13.6% เมื่อเทียบกับปีพ.ศ. 2566 (แต่ส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มเป็น 39.9%) ปัจจุบัน บีเอ็มดับเบิลยู และมินิ มีไลน์อัพรถเครื่องยนต์สันดาป ปลั๊ก-อินไฮบริด และ EV ทำตลาดในไทยกว่า 60 รุ่นย่อย และปีนี้เตรียมเปิดตัวเอสยูวีขนาดเล็ก พลังงานไฟฟ้า 100% ราคาเข้าถึงได้ง่ายอีกหนึ่งรุ่น ส่วนแผนการตั้งโรงงานแบตเตอรี่แรงดันสูง และการประกอบ EV ที่โรงงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง จ.ระยอง ยังคืบหน้าตามแผน ที่เคยประกาศไปคือในช่วงครึ่งปีหลัง โดยบีเอ็มดับเบิลยู กล่าวว่า แบรนด์รถจีนที่เข้ามาทำสงครามราคาในไทย กระทบต่อภาพรวมของตลาด ซึ่งกลยุทธ์แบบนี้ส่งผลถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าและภาพลักษณ์ของแบรนด์ ซึ่งบีเอ็มดับเบิลยูจะพยายามตั้งราคารถยนต์ที่เหมาะสม ทำให้ Cost of Ownership (ภาระและค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าของรถยนต์) ของลูกค้าต่ำลง ด้วยโปรแกรม BSI รวมถึงการสร้างคุณค่าของแบรนด์ มูลค่าของรถ ถึงแม้เป็นรถมือสองแล้ว ยังมีราคาขายต่อที่ดี
ที่มา: https://www.thansettakij.com/motor/ev/620194 วันที่ 4 มีนาคม 2568