สมัครสมาชิกวันนี้

  • Silver
  • สมาชิกระดับ Silver
  • ฟรี
  • สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารขั้นพื้นฐานได้
  • ข้อมูลผู้ประกอบการต่างประเทศ
  • ข้อมูลสถิติในประเทศและต่างประเทศ
  • มาตรการทางการค้าระหว่างประเทศ
  • กฎ ระเบียบ นโยบายในประเทศ
  • เทคโนโลยี และงานวิจัย
  • สมัครสมาชิก
Offline Page
Sample Maintenance Mode Page

เกร็ดน่ารู้

เคล็ดไม่ลับจาก สยย.

10 วิธี ช่วยลดภาวะโลกร้อน

 

1. เปลี่ยนหลอดไฟ การเปลี่ยนหลอดจากหลอดไส้เป็นหลอดฟลูออเรสเซนต์ จะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 150 ปอนด์ต่อปี

 

2. ขับรถให้น้อยลง หากระยะทางใกล้ๆ สามารถใช้การเดิน หรือขี่จักรยานแทนได้ เพราะการขับรถยนต์ระยะทาง 1 ไมล์ จะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 1 ปอนด์

 

3. รีไซเคิลให้มากขึ้น ลดขยะของบ้านคุณให้ได้ครึ่งหนึ่งจะช่วยลด คาร์บอนไดออกไซด์ ได้ถึง 2,400 ปอนด์ ต่อปี

 

4. เช็คลมยาง การขับรถโดยมียางลมน้อย ทำให้เปลืองน้ำมันขึ้นได้ถึง 3% จากปกติซึ่งน้ำมันทุกๆแกลลอนที่ประหยัดได้ จะลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 20 ปอนด์

 

5. ใช้น้ำร้อนให้น้อยลง การทำน้ำร้อนใช้พลังงานสูงมาก ดังนั้นการปรับเครื่องทำน้ำอุ่นให้มีอุณหภูมิ พอเหมาะ และลดแรงน้ำให้น้อยลง จะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 350 ปอนด์ต่อปี หรือการซักผ้าในน้ำเย็น จะลดคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ปีละ 500 ปอนด์

 

6. หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีบรรจุภัณฑ์เยอะ เพียงแค่ลดขยะของคุณเอง 10 % จะลด คาร์บอนไดออกไซด์ ได้ 1200 ปอนด์ต่อปี

 

7. ปรับอุณหภูมิที่ 25 องศา ปรับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศให้อยู่ในอุณหภูมิที่ 25 องศา และในฤดูหนาวควรหันมาเปิดหน้าต่างแทนเครื่องปรับอากาศ

 

8. ปลูกต้นไม้ การปลูกต้นไม้ 1 ต้นจะดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1 ตัน ตลอดอายุของมัน

 

9. ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ใช่ ปิดทีวี คอมพิวเตอร์ เครื่องเสียง และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เมื่อไม่ใช้ จะลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้นับพันปอนด์ต่อปี

 

10. บอกเพื่อนๆ ของคุณเกี่ยวกับวิธีเหล่านี้เพื่อช่วยกันค่ะ

 

ที่มา : www.vcharkarn.com

 

 

เคล็ดไม่ลับ จากสยย.

ลบคราบแป้งหลังสงกรานต์

 

หลังเทศกาลสงกรานต์  ท่านผู้อ่านหลายท่านคงประสบปัญหา "คราบน้ำแป้ง"  จากแป้งดินสอพอง ที่พร้อมจะกัดพื้นผิวสีรถ ทำให้เป็นคราบด่างบนตัวรถ เช่นเดียวกับคราบยางไม้ หรือมูลนก ถ้าเราไม่รีบทำความสะอาด ซึ่งทำลายสีรถได้เช่นกัน เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น ก่อนถึงเทศกาลสงกรานต์ เราควรเคลือบสีรถยนต์กันไว้ก่อนนะคะ

 

 เคล็ดไม่ลับดีๆ จาก สยย. ฉบับนี้ มาบอกต่อกันในการขจัดคราบแป้ง อย่างง่ายๆ เริ่มจาก การใช้น้ำจากผลมะนาว หรือมะกรูดบีบใส่ผ้าที่ชุ่มน้ำ แทนการใช้แชมพูเช็ดบริเวณที่มีคราบ แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดก่อนแห้ง คราบจะหายเกลี้ยง สะอาดหมดจด สีรถจะใหม่เอี่ยมทันทีเลยค่ะ แต่ถ้ายังไม่เกลี้ยงสามารถเพิ่มปริมาณน้ำมะนาวได้อีกนะคะ  ที่สำคัญไม่ต้องกังวลว่าสีรถจะเสียค่ะ เพราะน้ำมะนาวเป็นกรดธรรมชาติ และยังถูกเจือจางกับน้ำที่ผ้าอีกด้วยค่ะ

 

ที่มา :  www.thaitritonclub.com

 

 

       เคล็ดไม่ลับ จากสยย. มีวิธีขับรถยนต์ให้ปลอดภัย และสบายกระเป๋าในฤดูฝนมาฝากกันค่ะ

 

        - ตรวจเช็คเครื่องยนต์ให้พร้อมก่อนเดินทางเป็นประจำ ยิ่งช่วงหน้าฝนควรตรวจเช็คเป็นพิเศษ

 

        - ตรวจเช็คผ้าเบรก ควรสังเกตเสียงขณะเบรก หากเกิดอาการเบรกแล้วรถไม่หยุดในระยะปกติ ควรรีบเปลี่ยนผ้าเบรกใหม่ เพราะการที่ผ้าเบรกเสื่อม เสียดสีจานล้ออยู่เสมอ ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันประมาณวันละ 400 ซี.ซี.

 

         - ตรวจเช็คลมยาง และสภาพของยางอย่างสม่ำเสมอ ถ้าลมยางอ่อน หรือแข็งกว่ามาตรฐาน จะทำให้การทรงตัวของรถในหน้าฝนลำบากกว่าปกติ เพราะถ้าหากความดันลมยางต่ำกว่ามาตรฐานทุก ๆ 1 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว จะเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้น 2% นอกจากนี้สภาพยางที่สึกหรออาจทำให้รถเบรกไม่ค่อยอยู่ ส่งผลให้เกิดอันตรายต่อชีวิต และทรัพย์สินได้

 

         - เลี่ยงการเดินทางช่วงฝนตก เพราะจะทำให้รถติดทุกครั้ง ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางในช่วงฝนตก ลองเปลี่ยนมาใช้การติดต่อกันทางโทรศัพท์ หรือหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะ เช่น รถไฟฟ้า BTS หรือ รถไฟฟ้าให้ดิน ซึ่งเปลี่ยนการเดินทางจากรถยนต์มาใช้บริการขนส่งสาธารณะ เพราะหากรถติดแบบไม่ขยับรวมกันเป็นเวลา 30 นาที จะทำให้สูญเสียน้ำมัน 750 ซี.ซี.

 

         - ในช่วงฝนตก การเตรียมข้อมูลให้พร้อมสำหรับการเดินทางก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยลดการสิ้น เปลืองน้ำมัน โดยเลือกเส้นทางที่ใกล้ที่สุดหรือใช้เวลาน้อยที่สุด และศึกษาเส้นทางลัดของเส้นทางที่จะไป 

 

         - ลดการใช้แอร์ในรถช่วงหน้าฝน แนะนำให้ทดลองปิดแอร์ แล้วสูดอากาศธรรมชาติ และหากปิดแอร์ก่อนถึงที่หมาย 2-3 นาที จะประหยัดน้ำมันได้ 30 ซี.ซี. แต่หากไม่ใช้แอร์ตลอดการเดินทาง 20-30 นาที จะประหยัดน้ำมันได้ 300 ซี.ซี.

 

         - ไม่ใช้ความเร็วสูง ในช่วงฝนตกการจราจรมักจะติดขัดอยู่เสมอ แต่ถ้าหากปริมาณรถบนท้องถนนไม่หนาแน่น ก็ไม่ควรขับรถด้วยความเร็วสูงจนเกินไป เพราะถนนจะลื่นกว่าปกติ อาจทำให้รถเสียหลักเกิดอุบัติเหตุได้ และที่สำคัญการขับขี่รถยนต์ในอัตราความเร็วที่เหมาะสมจะช่วยประหยัดน้ำมันได้

 

       หากคุณปฏิบัติตามได้ทั้งหมด จะช่วยให้คุณสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายน้ำมันต่อเดือนได้มากทีเดียว และที่สำคัญยังจะช่วยให้ตัวคุณถึงที่หมายอย่างปลอดภัยอีกด้วย

 

       ขอบคุณที่มา : www.ecareasy.com

 

เคล็ดไม่ลับ จากสยย.

 

อาการผิดปกติของรถมักจะแจ้งให้ผู้ขับขี่ทราบล่วงหน้าเสมอ แต่ผู้ขับขี่จะทราบ หรือไม่ว่ารถกำลังสื่อสารกับท่านว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น จึงขอยกตัวอย่างบ้างส่วนที่เป็นสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับอาการจากพวงมาลัย มานำเสนอค่ะ

 

- พวงมาลัยสั่น มักเจอบ่อยที่สุด เกิดจากยางไม่กลม (ยางเก่า หรือมีสิ่งผิดปกติกับยาง) แต่ถ้าสั่นเฉพาะที่ความเร็วใดความเร็วหนึ่ง จะเกิดจากการถ่วงล้อ แต่ถ้าสั่นเพิ่มตามความเร็วของรถ จะเกิดจากลูกปืนล้อ บางทีโช๊คอัพเสีย หรือยางแท่นเครื่องแท่นเกียร์ชำรุด ก็ทำให้พวงมาลัยสั่นได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังสามารถเกิดขึ้นได้จากการขันน๊อตล้อ หรือรูน๊อตล้อไม่ดี ทำให้ล้อไม่ได้ศูนย์ และบางทีก็เป็นที่ปัญหาจากตัวล้อเองที่บิดเบี้ยว

 

- พวงมาลัยหลวม มีช่วงฟรีมาก ทำให้ควบคุมทิศทางได้ยาก บางทีเกิดขึ้นจากตัวพวงมาลัยเอง บางครั้งอาจเกิดจากลูกหมากปลายแร็ค โดยจะมีเสียงดังตอนเลี้ยว

 

- พวงมาลัยมีเสียงดัง เสียงดังของพวงมาลัยจะฟ้องว่าเกิดการสึกหรอของชิ้นส่วนบางอย่าง ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้อาจมีผลต่อการควบคุมทิศทาง อย่างเช่น ลูกหมากปลายแร็ค ที่มีปัญหา หรือเกิดจากการสึกหรอของฟันแร็ค ความห่างของลูกปืนในกระปุกพวงมาลัยกับลูกปืนคอพวงมาลัย และที่มีปัญหามากคือ การหลวมคลอนของข้อต่อแกนพวงมาลัย

 

- พวงมาลัยหนัก เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น น้ำมันเพาเวอร์พวงมาลัยขาด สายพานหย่อน แต่ถ้าหนักเฉพาะตอนเลี้ยวข้างใดข้างหนึ่งมักจะเป็นที่วาวล์ รถรุ่นใหม่อาจเป็นเพราะปั๊มเพาเวอร์ไฟฟ้าบกพร่อง แรงดันลมยางโดยเฉพาะล้อหน้าอ่อนเกินไป หรือศูนย์ล้อหน้าอาจมีปัญหา

 

- พวงมาลัยไม่คืน ตัวการหลัก มักเกิดขึ้นจากศูนย์ล้อไม่ถูกต้อง

 

ขอบคุณที่มา : หนังสือ “นักเลงรถ” ปีที่ 26  ฉบับที่ 305

เคล็ดไม่ลับ จากสยย.

วิธีขับรถเวลาน้ำท่วม 

-  ห้ามเปิดแอร์เด็ดขาด สาเหตุที่รถดับส่วนใหญ่เกิดจากการเปิดแอร์ แล้วขับลุยน้ำ เพราะเมื่อเปิดแอร์ พัดลมจะทำงาน ทำให้ใบพัดจะพัดให้น้ำกระจายไปทั่วห้องเครื่อง ส่งผลให้เครื่องยนต์ดับ

 

-  ควรใช้เกียร์ต่ำ สำหรับเกียร์ธรรมดา ควรใช้ประมาณเกียร์ 2 หรือสำหรับเกียร์ออโต้ สามารถใช้เกียร์ L ได้ รวมถึงการขับขี่ที่มีความเร็วต่ำที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ และควรใช้ความเร็วสม่ำเสมอ อย่าหยุด หรือเร่งความเร็วขึ้น

 

-  ไม่ควรเร่งเครื่องให้รอบสูง เพราะจะทำให้รถมีความร้อนสูงขึ้น เมื่อเครื่องมีความร้อนสูงขึ้น ใบพัดระบายความร้อนก็จะทำงานหนัก ไม่ต้องกลัวว่าน้ำจะเข้าท่อไอเสีย เพราะต่อให้น้ำท่วมท่อไอเสีย แล้วสตาร์ทรถอยู่ที่รอบเดินเบา แรงดันที่ออกมาเพียงพอที่จะดันน้ำออกมาอย่างสบาย ๆ ต่อให้จอดรถทิ้งไว้จนน้ำท่วมท่อไอเสีย เมื่อสตาร์ทรถก็ยังติดแน่นอน สำหรับเครื่องหัวฉีด

 

- ควรลดความเร็วลง เมื่อขับรถสวนกับอีกคันที่กำลังแล่นมา เพราะจะกลายเป็นคลื่นชนคลื่น ซึ่งน้ำที่ปะทะระหว่างรถอาจทำให้กระเด็นไปทำอันตรายต่ออุปกรณ์ภายในได้ เช่นกัน

 

หลังจากลุยน้ำท่วมมานั่น สิ่งที่ควรทำ คือ พยายามย้ำเบรกเพื่อไล่น้ำ เพราะในช่วงแรก ๆ หลังจากการลุยน้ำมา จะเบรกไม่อยู่ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมาก ลองนำวิธีที่แนะนำไปลองปฏิบัติดู นะคะรับรองว่าต้องช่วยผู้อ่านได้ไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอนค่ะ

 

เคล็ดไม่ลับ จาก สยย.

ขับขี่ปลอดภัยช่วงหน้าร้อน

 

เมษายนเป็นช่วงของเดือนที่มีวันหยุดติดต่อกันหลายวันคาดว่า จะมีการเดินทางและใช้รถใช้ถนนเพิ่มมากขึ้น ทั้งในช่วงกลางวันและกลางคืน เคล็ดไม่ลับจาก สยย. ฉบับนี้จึงขอนำวิธีขับรถอย่างปลอดภัยในช่วงกลางวันและกลางคืน เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง จากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยมาฝากท่านผู้อ่าน ดังนี้

 

การขับรถในช่วงกลางวัน

-  ขับรถช่วงแสงแดดแรงจัด ผู้ขับขี่ควรใช้ที่บังแดดปิดลงมาที่กระจกหน้ารถ สวมแว่นตากันแดดที่ได้มาตรฐาน หลีกเลี่ยงการขับรถติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน เพราะอาจทำให้เกิดอาการง่วงนอน และเมื่อมีอาการง่วงนอน ควรหาที่จอดพักรถในบริเวณที่ปลอดภัย เช่น สถานีบริการน้ำมัน จุดพักรถริมทาง ที่จัดไว้และผู้คนใช้บริการอยู่บ้างแล้ว เป็นต้น เพื่อพักล้างหน้าหรือเปลี่ยนอิริยาบถคลายอาการง่วงนอน ก่อนที่จะเดินทาง ต่อไป

 

-  ถนนมีฝุ่นละอองปกคลุม ผู้ขับขี่ควรหมั่นทำความสะอาดกระจกรถยนต์ โดยเฉพาะกระจกหน้าและกระจกหลังรถ เพื่อป้องกันฝุ่นละอองเกาะกระจก ทำให้มองเห็นเส้นทางไม่ชัดเจน

 

การขับรถช่วงเวลากลางคืน จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมากกว่าปกติ เพราะขีดจำกัดในการมองเห็นเส้นทางและสิ่งกีดขวาง ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย ผู้ขับขี่ควรตรวจสอบระบบไฟส่องสว่าง รวมทั้งไฟสัญญาณให้พร้อมใช้งานทุกดวง อีกทั้งตั้งระดับไฟหน้ารถให้สามารถมองเห็นถนนได้ชัดเจนด้วยการเปิดไฟต่ำ เพราะหากเปิดไฟสูงจะทำให้รถที่สวนมามองไม่เห็นเส้นทางข้างหน้า และอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ นอกจากนี้ยังรวมถึงการศึกษาสภาพเส้นทาง ก่อนการเดินทาง หากพบว่าสภาพพื้นผิวถนน มีการก่อสร้างหรืออยู่ระหว่างการซ่อมแซมให้หลีกเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นที่ปลอดภัย หรือขับรถด้วยความเร็วที่สามารถจะหยุดรถได้ในขอบเขตที่สายตามองเห็น และสอดคล้องกับระยะทางที่ไฟหน้ารถส่องถึง

 

จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะขับรถในช่วงกลางวันหรือกลางคืน ล้วนมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทั้งสิ้น ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยผู้ขับขี่จึงควรเตรียมความพร้อมทั้งด้านสภาพร่างกาย ตรวจสอบสภาพรถ และศึกษาเส้นทาง ตลอดจนเรียนรู้วิธีการขับรถอย่างปลอดภัย รวมถึงปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุ เช่น เร็ว เมา ง่วง โทรไม่ขับ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนนได้ในระดับหนึ่ง ด้วยความห่วงใยจาก สยย. ขอให้ทุกท่านเดินทางด้วยความปลอดภัยในทุกๆเส้นทางนะคะ

 

ขอบคุณที่มาจาก : กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย (www.vcharkarn.com)

เคล็ดไม่ลับจาก สยย.

ป้องกันภัยเมื่อกระจกแตก

 

       ในกรณีที่คุณขับรถตามรถบรรทุกที่ไม่มีผ้าคลุมกระบะท้าย เศษหิน เศษดิน ทราย กรวด มันก็จะกระเด็นใส่หน้ารถของคุณ อาจส่งผลทำให้กระจกหน้ารถแตกได้ และถ้ากระจกรถแตกในขณะที่คุณขับขี่อยู่นั้น สิ่งแรกที่คุณควรทำคือ ตั้งสติควบคุมรถให้ตรงเลน ลดความเร็วในการขับ เปิดสัญญาณไฟเลี้ยวซ้าย และขับเข้ข้างทางโดยดูกระจกมองข้างให้แน่ใจว่าทางซ้ายว่าง จึงนำรถเข้าจอดข้างทางโดยเปิดสัญญาณไฟฉุกเฉิน ให้ผู้ใช้ถนนคันอื่นมองเห็น เมื่อจอดรถแล้วให้สังเกตว่ากระจกแตกเฉพาะจุดแตก หรือลายละเอียดทั้งบาน ถ้าแตกละเอียดทั้งบานจนมองไม่เห็นทาง แสดงว่ากระจกเป็นกระจกชนิด "เท็มเปอร์"

 

       กระจก "เท็มเปอร์" Temper เมื่อเกิดแตกร้าวเนื้อกระจกจะแตกเป็นลักษณะเม็ดข้าวโพดลามทั่วบาน ทำให้มองไม่เห็นทาง ถ้าเป็นในเมืองก็เรียกยกเข้าศูนย์บริการ แต่ถ้านอกเมืองไม่สามารถข้อความช่วยเหลือจากใครได้ก็ต้องทำการเลาะเอากระจกที่แตกละเอียดออกโดยการใช้ผ้าหรือหนังสือพิมพ์รองไว้ที่หน้าคอนโซลแล้วใช้ไม้ดันให้กระจกหลุดลงมาที่ผ้าซึ่งรองไว้ แล้วค่อยๆขับไปหาศูนย์บริการหรือร้านเปลี่ยน ในระหว่างขับต้องระวังเศษกระจกที่จะปลิวเขาตาด้วย

 

       ส่วนแบบ "ลามิเนท" Laminated ที่แตกเฉพาะจุดและสามารถมองเห็นได้แม้จะมีรอยแตกตรงจุดๆนั้น เป็นกระจกป้องกันภัยที่พัฒนาขึ้นมาจากแบบเดิม ซึ่งรถยนต์ในปัจจุบันก็ใช้กระจกหน้าแบบนี้ โดยมีความพิเศษตรงที่เป็นกระจกสองชั้นวางซ้อนกัน ตรงกลางมีแผ่นฟิล์มบางทำหน้าที่ยึดเกาะกระจก ดังนั้นหากเกิดการแตกร้าวเนื้อกระจกจะแตกเฉพาะจุดไม่ลาม

 

      ขอบคุณที่มาจาก : http://auto.sanook.com/

ทรัพย์สินทางปัญญาในอุตสาหกรรมยานยนต์

 

   นิติ บุญยาภิมุข        
   แผนกวิเคราะห์ธุรกิจยานยนต์ สถาบันยานยนต์

 

   บทนำ

จากการที่ประเทศไทย ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก(WTO)ทำให้ต้องปฎิบัติตามข้อตกลงTRIPs(Trade-related aspects of Intellectual Property Rights) โดยให้ศุลกากรมีอำนาจในการหยุดยั้งสินค้าที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและสามารถตรวจค้น กักสินค้า หรือหยุดการส่งสินค้าใด ๆ ที่ต้องสงสัยว่าจะละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ทำให้ประเด็นเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาเป็นประเด็นที่มีความสำคัญมากขึ้น นอกจากนั้นประเด็นดังกล่าว ยังถูกบรรจุในการจัดทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี(FTA) กับประเทศต่างๆ ได้แก่ ออสเตรเลีย จีน บาห์เรน อินเดีย เปรู สหรัฐฯ ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และกลุ่มประเทศอื่นๆ ในกรอบอาเซียน เช่น อาเซียน–จีน อาเซียน–ออสเตรเลีย–นิวซีแลนด์ รวมถึงกลุ่มเขตเศรษฐกิจ เช่น BIMSTEC EFTA APEC เป็นต้น

 

สถานการณ์ด้านทรัพย์สินทางปัญญาในปัจจุบัน พบว่า มีมูลค่าความเสียหายจากสินค้าปลอมและสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ทั่วโลกสูงถึง 350 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 7% ของมูลค่าการค้าโลก โดยเฉพาะในหมวดอุตสาหกรรมเครื่องจักรซึ่งรวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ เฉพาะทวีปเอเชียมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 7.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯจึงเกิดการผลักดันจากผู้ผลิตยานยนต์ และภาครัฐบาลประเทสต่างๆ เพื่อให้เกิดการคุ้มครองนวัตกรรมใหม่ การใช้เงินทุนในการวิจัยและพัฒนาทั้งด้านประสิทธิภาพและคุณภาพ เมื่อได้รับผลกำไร ก้จะนำมาลงทุนสำหรับการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ทำให้เกิดวงจรการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การมีระบบคุ้มครองสิทธิ์ จึงมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นให้คนภายในประเทศมีความต้องการการคิดเชิงนวัตกรรมมากขึ้น และยังก่อให้เกิดความเชื่อมั่นต่อการเข้ามาลงทุนจากต่างประเทศ

 

    สถานการณ์ปัจจุบันในประเทศไทย

ปัจจุบันประเทศไทยเป็นประเทศที่ถูกจับตามองพิเศษจากปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งมีผลต่อการส่งออกรวมทั้งการเจรจาทวิภาคีและอื่นๆ ในขณะที่ประเทศไทยถูกผลักดันให้เพิ่มการคุ้มครองด้านทรัพย์สินทางปัญญาสูงขึ้น แต่ทรัพย์สินทางปัญญาที่ควรจะได้รับความคุ้มครองของไทยกลับมีน้อยมากจึงเป็นเรื่องที่ต้องผลักดันให้มีการสร้างสรรค์เพิ่มขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญหาของภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้น ทั้งจากการปลอมแปลงสินค้าจากผู้ผลิตภายในประเทศ และนำเข้าจากต่างประเทศ อาทิ เช่น น้ำมันเบรค จานเบรค ผ้าเบรค ลูกหมาก เป็นต้น คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า1,000ล้านบาท นอกจากนี้ การใช้อะไหล่รถยนต์ปลอมนอกจากจะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของผู้ขับขี่ยานยนต์ ผู้ใช้ถนนและประชาชนทั่วไปแล้ว ยังก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศ ซึ่งปัจจุบันมียอดผลิตรถยนต์ 1,200,000 คัน มูลค่ารวมประมาณ 4.8 ล้านล้านบาท ประกอบด้วยอะไหล่ชิ้นส่วนยานยนต์คิดเป็นมูลค่า 2.5 แสนล้านบาท

 

   ความหมายของทรัพย์สินทางปัญญา

ทรัพย์สินทางปัญญา หมายถึง ผลงานอันเกิดจากการประดิษฐ์คิดค้น หรือสร้างสรรค์ของมนุษย์ ซึ่งเน้นที่ผลผลิตของสติปัญญาและความชำนาญ โดยไม่คำนึงถึงชนิดของการสร้างสรรค์หรือวิธีการแสดงออก ทรัพย์สินทางปัญญา อาจเป็นสิ่งที่จับต้องได้ เช่น สินค้าต่างๆ หรือเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ เช่น บริการ แนวความคิด กรรมวิธี และทฤษฎีต่างๆ เป็นต้น

 

    ประเภทของทรัพย์สินทางปัญญา แบ่ง ได้ดังนี้

1.สิทธิบัตร (Patent) หมายถึง หนังสือสำคัญที่รัฐออกให้เพื่อคุ้มครองการประดิษฐ์ แบ่งเป็น 3 ประเภทคือ
          - สิทธิบัตรการประดิษฐ์(Invention Patent) คือ ความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับ ลักษณะองค์ประกอบ โครงสร้างหรือกลไกของผลิตภัณฑ์ รวมทั้งกรรมวิธีในการผลิต การรักษาหรือปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ มีอายุการรับรอง 20 ปี นับแต่วันยื่นขอรับสิทธิ์
          - สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์(Product Design Patent) คือ ความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับการทำให้รูปร่างลักษณะภายนอกของผลิตภัณฑ์เกิดความสวยงามและแตกต่างไปจากเดิม มีอายุการรับรอง 10ปี นับแต่วันยื่นขอรับสิทธิ์
          - อนุสิทธิบัตร(Petty Patent) หรือ ผลิตภัณฑ์อรรถประโยชน์ (Utility Model) มีลักษณะคล้ายกันกับการประดิษฐ์ แต่เป็นความคิดสร้างสรรค์ที่มีระดับการพัฒนาเทคโนโลยีไม่สูงมาก หรือเป็นการประดิษฐ์คิดค้นเพียงเล็กน้อย มีอายุการรับรอง 6 ปี และสามารถต่ออายุได้สองครั้ง ครั้งละ 2 ปี (รวม 10ปี)

 

2. เครื่องหมายการค้า(Trademark) หมายถึง เครื่องหมาย หรือสัญลักษณ์ หรือตราที่ใช้กับสินค้า หรือบริการ แตกต่างกับสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่น เช่น TOYOTA YAMAHA FORD เป็นต้น มีอายุการคุ้มครอง 10 ปี นับแต่วันยื่นขอรับสิทธิและสามารถต่ออายุได้ทุกๆ 10 ปี

 

3. ความลับทางการค้า (Trade Secrets) หมายถึง ข้อมูลการค้าที่ยังไม่เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป และมีมูลค่าในเชิงพาณิชย์เนื่องจากข้อมูลนั้นเป็นความลับ และมีการดำเนินการตามสมควรเพื่อรักษาข้อมูลนั้นไว้เป็นความลับ

 

4. ลิขสิทธิ์ (Copyright) หมายถึง งานหรือความคิดสร้างสรรค์ในสาขาวรรณกรรม ศิลปกรรมต่างๆ

 

ตัวอย่างคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งทางบริษัท GM ของสหรัฐอเมริกาได้ฟ้องร้องบริษัท Cherry ผู้ผลิตรถมินิคาร์ QQ ของจีนว่า ลอกแบบรถรุ่น Spark (หรือ Daewoo Matiz)

 

 

รูปที่ 1  เปรียบเทียบระหว่างรถยนต์รุ่น QQ และรุ่น Spark

 

ในปัจจุบันประเทศไทยมีกฎหมายให้ความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา 5 ฉบับ คือ

1.พระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติสิทธิบัตร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติสิทธิบัตร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542

2. พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2543

3. พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537

4. พระราชบัญญัติคุ้มครองแบบผังภูมิของวงจรรวม พ.ศ. 2543

5. พระราชบัญญัติสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ พ.ศ. 2547

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีพันธกรณีตามการเจรจาทางการค้าระหว่างประเทศ ที่จะต้องออกกฎหมายให้ความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาทุกประเภท ต่อไปในอนาคต 

 

ปัจจัยที่มีผลต่อการบริโภคสินค้าปลอม

1. ราคาสินค้าแท้ มีราคาสูง ในขณะที่มุมมองของผู้ขาย มองว่าเป็นกลไกการตลาด แต่ผู้บริโภคกลับมองว่าราคาสูงเกินไป จึงมีความต้องการใช้สินค้าปลอมที่มีราคาถูกกว่า

2. คุณภาพสินค้าแท้ และสินค้าปลอมไม่แตกต่างกันมาก ตัวอย่างเช่น สินค้าแท้ มีอายุการใช้งาน 1 ปี ขณะที่สินค้าปลอมอาจจะต้องเปลี่ยนถึง 2 ครั้ง/ปี แต่เก็ยังมีราคาถูกกว่าการซื้อสินค้าของจริง แท้

3. สินค้าของแท้ ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้เมื่อใช้ไปแล้วรู้สึกไม่พึงพอใจจึงตัดสินใจที่จะไม่ซื้อในครั้งต่อไป

4. ตัวแทนจำหน่ายหรือศูนย์บริการขาดความรับผิดชอบ ผู้บริโภคไม่สามารถเปลี่ยน หรือคืนได้เมื่อมีปัญหา หรือมีช่วงเวลาการรับประกันสั้น ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าไม่คุ้มค่า

รูปที่ 2 แสดงแหล่งสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในทวีปเอเชีย

 

ผลกระทบที่เกิดจากการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา

สินค้าปลอมหรือสินค้าลอกเลียนแบบซึ่งวางขายทั่วไปตามท้องตลาดอย่างแพร่หลาย กำลังเป็นที่ยอมรับของผู้ใช้เนื่องจากมีราคาถูกกว่าสินค้าแท้ สินค้าปลอมบางส่วนมีการวางจำหน่ายในศูนย์บริการ โดยตั้งราคาใกล้เคียงกับสินค้าแท้ และสร้างผลกำไรให้กับผู้จำหน่าย ในขณะที่ผู้บริโภคเอง ไม่สามารถแบ่งแยกความแตกต่างของสินค้าหรือราคาได้ ตัวอย่างชิ้นส่วนที่มีการปลอมแปลงมากในท้องตลาด คือ หัวเทียน ไส้กรองน้ำมันเครื่อง ยางรถยนต์ ผ้าเบรค น้ำมันเบรค จานเบรค แหนบ ลูกหมาก เป็นต้น สินค้าปลอมเหล่านี้มีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน ไม่เพียงแต่ส่งผลเสียโดยตรงต่อผู้ใช้ แต่มีผลกระทบถึงเศรษฐกิจและสังคมของประเทศชาติ

 

สินค้าซึ่งไม่ได้มาตรฐานเหล่านี้ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสมรรถนะของยานยนต์  เช่น กรณีไส้กรองน้ำมันเครื่องและไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงปลอม นอกจากจะไม่ทนทาน มีความสามารถในการกรองต่ำ อายุการใช้งานสั้น ยังส่งผลให้เกิดการสึกหรอของลูกสูบและกระบอกสูบ อัตราการเร่งต่ำลง และอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงสูงขึ้น หรือกรณีการใช้ผ้าเบรคปลอมก็จะส่งผลต่อ ระยะทางที่ใช้ในการเบรคยาวขึ้นและเสียการทรงตัวขณะเข้าโค้ง หรือเกิดความร้อนสูงจนลุกไหม้ สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้ขับขี่และผู้ใช้ถนน หรืออย่างเช่น กรณีการใช้หัวเทียนปลอมทำให้เกิดการ เผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ก่อให้เกิดไอเสียที่มีมลพิษสูงกว่ามาตรฐาน ก่อให้เกิดผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

 

 

รูปที่ 3 ไส้กรองแท้ซึ่งมีวัสดุกรองหนาและมีประสิทธิภาพสูงกว่าของปลอม

 

นอกจากนี้ เมื่อมีการละเมิดเครื่องหมายการค้า มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสินค้า
เจ้าของสิทธิ์หรือบริษัทผู้ผลิต ยอดการจำหน่าย และความสามารถในการแข่งขันลดลง ทำให้ไม่สามารถลงทุนในการสร้างนวัตกรรมใหม่ออกสู่ตลาด เมื่อพิจารณาในระดับประเทศทำให้เกิดความไม่มั่นใจในการเข้ามาลงทุนเนื่องจากขาดระบบรองรับและคุ้มครองสิทธิ์ที่ดี โดยเฉพาะการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญต่อความอยู่รอดโดยเฉพาะในธุรกิจยานยนต์ซึ่งมีการแข่งขันสูง

 

ระบบทรัพย์สินทางปัญญาและแนวทางการพัฒนาของประเทศไทย

หน่วยงานหลักที่ดำเนินการด้านทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศไทย คือ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ โดยรวมงานด้านสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ และงานลิขสิทธิ์ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการในปี 2535 ไว้ด้วย พร้อมทั้งความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอกโดยมีระบบและแนวทางการพัฒนาด้านทรัพย์สินทางปัญญาของไทย ดังนี้

 

รูปที่ 4 แสดงระบบทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศไทย

1.การสร้างสรรค์(Creation) การสร้างผลงานจากการประดิษฐ์ คิดค้น สร้างสรรค์ 

2. การคุ้มครอง(Protection) สร้างกลไกการบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อย่างมีประสิทธิภาพ

3.การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ (Commercialization) เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจในการบริหารจัดการสิทธิ์หลังจากได้รับการคุ้มครอง และขอบเขตการใช้สิทธิ์

4.การปราบปราม(Enforcement) การปราบปรามการละเมิดสิทธิและการลงโทษ

 

ปัญหาที่ประเทศไทยหรือประเทศกำลังพัฒนาประสบจะคล้ายคลึงกัน คือ ขาดการสร้างสรรค์ในขณะที่ ผู้ประกอบการเองยังไม่ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา หรือขาดความรู้ในการพัฒนาทำให้ขาดการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ จึงไม่ให้ความสำคัญกับทรัพย์สินทางปัญญา แต่จะมุ่งเน้นกับการป้องกันและการปราบปรามตามแรงผลักดันจากต่างประเทศ ทั้งนี้ ในการพัฒนาควรที่จะต้องพัฒนา  ทุกด้านอย่างสมดุลและไม่ควรพัฒนาเฉพาะด้านเพียงด้านเดียว ซึ่งกรมทรัพย์สินทางปัญญามีแนวการพัฒนา ดังนี้

 

1.สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับสถาบันด้านวิจัยและพัฒนา เช่น กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ และมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์นวัตกรรมและผลงานทรัพย์สินทางปัญญาใหม่ๆ

 

 2.ปรับปรุงการจดทะเบียนและงานทะเบียนต่างๆ โดยนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับบริการที่มีประสิทธิภาพ ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ทำให้การตรวจค้น ตรวจสอบการคุ้มครองด้านต่างๆ เช่น สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า ลิขสิทธิ์ ความลับทางการค้า การออกแบบผลิตภัณฑ์ สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

 

3. การตั้งหน่วยงานเพื่อให้บริการ เช่น IPIC (IP Information Center) IPMC (IP Management Center) IPL (IP Library) IPTC (IP Training Center) เพื่อเผยแพร่ความรู้ เพื่อสร้างทัศนคติเชิงบวกด้านทรัพย์สินทางปัญญาและทำให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจ รวมทั้งตระหนักถึงประโยชน์ของทรัพย์สินทางปัญญา เกิดจิตสำนึกและค่านิยมในการใช้สินค้าและบริการที่ถูกต้องตามกฎหมาย

 

4.การปราบปราม สร้างเครือข่ายความร่วมมือ ในการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ระหว่าง หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานป้องปรามทรัพย์สินทางปัญญาภายใต้กรมทรัพย์สินทางปัญญา กรมตำรวจ กรมศุลกากร เอกชนเจ้าของสิทธิ 

 

ปัญหาการพัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญาในอุตสาหกรรมยานยนต์

ปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาที่เกิดขึ้นมาก คือ การละเมิดเครื่องหมายการค้า การละเมิดสิทธิบัตรการออกแบบ และลิขสิทธิ์ นั้น มีสาเหตุหลัก มาจาก

 

1. ผู้ประกอบการขาดความรู้และความเข้าใจระบบทรัพย์สินทางปัญญา ไม่เข้าใจถึงสิทธิประโยชน์ ที่ควรได้รับ เนื่องจากไม่ได้รับข่าวสาร ข้อมูล หรือการให้การศึกษา ทั้งที่เป็นประเด็นซึ่งมีความสำคัญในระดับนานาชาติ : จึงควรมีการเผยแพร่ความรู้ เพื่อสร้างทัศนคติเชิงบวกด้านทรัพย์สินทางปัญญา

 

2. ขาดการสร้างสรรค์และการนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ : เมื่อเปรียบเทียบงบประมาณที่ใช้ในการวิจัยและพัฒนา และจำนวนการจดสิทธิบัตรในด้านยานยนต์และชิ้นส่วนของไทยแล้ว ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา หรือญี่ปุ่นซึ่งจะเน้นการพัฒนาและวิจัยภายในประเทศแล้วใช้ต่างประเทศเป็นฐานการผลิต

 

3. ข้อจำกัดในอุตสาหกรรมซึ่งขาดการพัฒนาและออกแบบเอง โดยเป็นผู้รับจ้างผลิตตามแบบจากต่างประเทศ ซึ่งอาจเป็นการละเมิดสิทธิบัตร หรือนำไปติดเครื่องหมายการค้าปลอม

 

4.  การแข่งขันภายในอุตสาหกรรมสูง ทำให้ขาดการนำเรื่องทรัพย์สินทางปัญญามาหารือกันในวงการอุตสาหกรรมเท่าที่ควร ทั้งที่เป็นประเด็นที่สำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม

 

แนวทางการแก้ไขปัญหาทรัพย์สินทางปัญญา

จากการเสนอสรุปวิธีปฏิบัติที่ดี (Best Practice) เพื่อการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งเสนอโดยประเทศญี่ปุ่นใน 8th APEC Automotive Dialogue ที่บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ประกอบด้วย 11 ประเด็นซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาระบบ IPR ของประเทศไทยให้สอดคล้องกับแนวทางของประเทศต่างๆมีดังนี้

1. การควบคุมพรมแดนที่มีประสิทธิภาพและทั่วถึงของศุลกากร

2. การสร้างกรอบความร่วมมือระหว่างกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมทรัพย์สินทางปัญญา เจ้าหน้าที่สืบสวน และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง

3. การสร้างศูนย์ให้คำปรึกษาครบวงจรโดยภาครัฐ

4. ระบบลงทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา

5. การเตรียมข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญาที่เหมาะสม

6. การบัญญัติและแก้ไขกฏหมาย รวมทั้งข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง

7. ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลต่างประเทศและหน่วยงานต่างชาติ

8. การสร้างกรอบความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคอุตสาหกรรม

9. การกระจายภารกิจร่วมระหว่างภาครัฐและภาคอุตสาหกรรม

10. การฝึกสอนเจ้าหน้าที่ทั้งผู้มีอำนาจเกี่ยวกับสิทธิบัตร และ การสืบสวน

11. การจัดกิจกรรมเพื่อสร้างความตื่นตัวในสังคมด้านการป้องกันการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา

 

บทสรุป

การมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญ ต่อการแก้ไขปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา การมุ่งเน้นการปราบปรามอย่างเข้มงวดคงไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดีที่สุด แต่ควรมีการปลูกฝังให้คนมีความคิดสร้างสรรค์ กระตุ้นการวิจัยและพัฒนา โดยการสนับสนุนของภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนประเทศที่มีความพร้อมหรือพยายามผลักดันเอง ควรเข้ามามีส่วนร่วมช่วยเหลือ ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ในขณะที่ผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายก็ควรให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้าและบริการที่ดีด้วยราคาเหมาะสม ควบคู่กับการปลูกจิตสำนึกในการใช้สินค้าแท้ ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

To make your Joomla! website unavailable to visitors, replacing it with a simple message, do this:

  1. Log in to the Administrator back-end.
  2. Click on the Global Configuration button in the main Control Panel or System → Global Configuration in Joomla 3.x.
  3. There are so many configuration options that they need to be divided into separate groups or tabs. The Site tab, it should be the default first view displayed, if not click on the tab.
  4. Find where it says Site Offline and click the Yes button in Joomla 3.x.
  5. Optional: Change the Offline Message to give your visitors some explanation about why your website is unavailable.
  6. Click the Save toolbar button to implement the new settings:
    • The Save toolbar button will save your changes and but leave you in Global Configuration.
    • The Save and Close button will save your changes and return you to the Administrator Control Panel.
  7. You should see a message confirming the settings have been changed.

ศูนย์สารสนเทศยานยนต์

ติดต่อ ศูนย์สารสนเทศยานยนต์ สถาบันยานยนต์

อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา (สพข.) ซ.ตรีมิตร กล้วยน้ำไท ถ.พระรามที่ 4 แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110
โทรศัพท์: 0-2712-2414 ต่อ 6443
email : aiu@thaiauto.or.th