นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ยอดจดทะเบียนป้ายแดงของรถยนต์นั่งประเภท BEV ในเดือนก.พ. 2566 อยู่ที่ 5,402 คัน สูงสุดนับตั้งแต่มีการบันทึกจำนวนจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า
โดยเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าในเดือนเดียวกัน 5,016.16% และเมื่อรวมยอดจดทะเบียนรถยนต์นั่งทั้งหมดในเดือนนี้ รถยนต์นั่ง BEV มีสัดส่วนคิดเป็น 7.85% ทั้งนี้เพราะนโยบายส่งเสริมกระตุ้นการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาล จึงทำให้ราคาขายรถยนต์ไฟฟ้าลดลงอยู่ในระดับที่ประชาชนเข้าถึงได้และสร้างความเชื่อมั่นให้รถยนต์ไฟฟ้าอันดับต้นๆ เข้ามาตั้งฐานผลิตและจำหน่ายในประเทศไทยมากขึ้น ผู้ซื้อก็มั่นใจและสามารถเลือกซื้อรุ่นรถตามความนิยมของตนได้” ขณะที่จำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนก.พ. 2566 มีทั้งสิ้น 165,612 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 6.39% เนื่องจากได้รับชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ (ชิพ) เพิ่มขึ้น ทำให้สามารถผลิตได้ตามออเดอร์ที่ยังค้างอยู่ โดยคาดว่าสถานการณ์ขาดแคลนชิพเริ่มคลี่คลายตามลำดับ โดยรวมยอดการผลิตรถยนต์ 2 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-ก.พ. 2566) อยู่ที่ 327,939 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า 6.68% ส่วนยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนก.พ. 2566 มีจำนวนทั้งสิ้น 71,551 คัน ลดลง 3.94% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากการผลิตรถกระบะเพื่อขายในประเทศน้อยลงเพราะขาดชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์และในเบื้องต้นคาดว่าน่าจะมีการนำเข้าในราคาต่ำมาจำหน่าย รวมยอดขาย 2 เดือนแรกอยู่ที่ 137,130 คันลดลง 4.73% สำหรับยอดการส่งออกรถยนต์ในเดือนก.พ. 2566 ส่งออกได้ 88,525 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 11.42% เพิ่มขึ้นเพราะได้รับชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์มากขึ้นจึงผลิตส่งออกรถยนต์นั่งเพิ่มขึ้น 50.04% และรถกระบะเพิ่มขึ้น 7.44% ทำให้ส่งออกเพิ่มขึ้นในตลาดเอเชีย ออสเตรเลียและโอเชียเนีย ตะวันออกกลาง อเมริกากลางและอเมริกาใต้ นอกจากนี้ยังคงต้องติดตามปัญหาภูมิรัฐศาสตร์อย่างใกล้ชิด หากวิกฤติไม่ลุกลามคาดว่าการผลิตรถยนต์ของไทยจะกลับไปสู่ระดับ 2 ล้านคันได้ในปีพ.ศ. 2567
ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/auto/1059340 วันที่ 28 มีนาคม 2566