สมัครสมาชิกวันนี้

  • Silver
  • สมาชิกระดับ Silver
  • ฟรี
  • สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารขั้นพื้นฐานได้
  • ข้อมูลผู้ประกอบการต่างประเทศ
  • ข้อมูลสถิติในประเทศและต่างประเทศ
  • มาตรการทางการค้าระหว่างประเทศ
  • กฎ ระเบียบ นโยบายในประเทศ
  • เทคโนโลยี และงานวิจัย
  • สมัครสมาชิก
ข่าวสารยานยนต์
อ่านข่าวสารล่าสุด

ค้นหาข้อมูล

ข่าวต่างประเทศ

                 ผลจากการพัฒนาประเทศผ่านอุตสาหกรรมอย่างก้าวกระโดด ทำให้จีนเป็นหนึ่งในชาติแรกๆ ที่ประสบปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะมลพิษทางอากาศ ประเด็นที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในประเทศไทยเวลานี้ การแก้ไขปัญหามลพิษของจีนนั้น นอกจากการออกนโยบายเชิงรุกอย่างเข้มงวด เช่น การไล่ปิดโรงไฟฟ้าถ่านหิน การจำกัดจำนวนรถยนต์ที่วิ่งในเขตเมือง หรือแม้กระทั่งการสร้างอาคารกรองอากาศขนาดยักษ์แล้ว หนึ่งนโยบายสำคัญซึ่งเป็นที่น่าศึกษาก็คือ การสนับสนุนการผลิตและการใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจัง ด้วยความที่จีนเองเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานพาหนะขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า (อีวี) โดยในปีนี้รถยนต์อีวีทำยอดขายำด้มากถึง 1 ล้านคันเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อเสียเปรียบของรถยนต์ไฟฟ้า ที่ยังมีราคาสูงเมื่อเทียบกับรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยการสันดาปภายใน (ไอซีอี) หรือรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน รัฐบาลจีนจึงมีนโยบายอุดหนุนทั้งฝั่งของผู้ผลิตรถยนต์อย่างจริงจังนับตั้งแต่รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกออกวางตลาดเมื่อกว่า 10 ปีก่อน ผลจากแรงจูงใจในการผลิตที่เห็นได้ชัดเจน เดิกขึ้นในอุตสาหกรรมผลิตรถบัสไฟฟ้าของจีนเองโดยสามารถกระตุ้น การผลิตเพิ่มขึ้นจากในปี 2011 ที่ 1000 คัน ให้มีจำนวนมากถึง 132,000 คันในปี 2016

ที่มา : หนังสือพิมพ์  มติชนสุดสัปดาห์  ฉบับวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562

                โตโยต้าทำกำไรในช่วงไตรมาตรสามเพิ่มขึ้น 0.4% ยอดขายในเอเชียซึ่งรวมถึงจีนยังคงเพิ่มขึ้น ช่วยชดเชยยอดขายที่ลดลงในอเมริกาเหนือได้ ในทางกลับกัน สงครามการค้าทำกำไรไตรมาตรสี่ของเมอร์เซเดส - เบนซ์ ร่วงถึง 22% แม้ว่ายังคงเป็นแบรนด์รถหรูที่มียอดขายมากที่สุดในปีที่ผ่านมา บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ แถลงเมื่อวันพุธว่ากำไรจากการดำเนินงานในช่วงไตรมาสสามเพิ่มขึ้น 0.4% เป็น 676,100 ล้านเยน หรือ 6,160 ล้านดอลลาร์ จาก 673,640 ล้านเยนในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจากยอดขายในเอเซียซึ่งรวมถึงจีนยังคงเพิ่มขึ้น จึงช่วยชดเชยยอดขายในอเมิกาเหนือ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่สุดของบริษัทได้ ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์ 10 คนที่เรฟินิทีฟได้รวบรวมประมาณการมา คาดการณ์โดยเฉลี่ยว่าโตโยต้าจะมีกำไร 680,840 ล้านเยน  โตโยต้าได้ลดปราณการกำไรสุทธิของปีนี้ทั้งปี เหลือ 1.87 ล้านล้านเยน จากเดิมประมาณการไว้ 2.3 ล้านล้านเยน แต่ได้คงประมาณการกำไรจากการดำเนินงานทั้งปีไว้ที่ 2.4 ล้านล้านเยนเช่นเดิม ในทางกลับกัน บริษัทเดมเลอร์ เอจี เจ้าของแบรนด์รถยนต์เมอร์เซเดส- เบนซ์ แถลงว่า กำไรจากการดำเนินการในช่วงไตรมาสสี่ลดลงถึง 22% เนื่องจากสงครามการค้าและการลงทุนในการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับและรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จึงส่งผลกระทบต่อกำไรของรถยนต์เมอร์เซเดส – เบนซ์ กำไรก่อนหักภาษีและดอกเบี้ย (EBIT) ลดลงเหลือ 2.670 ล้านยูโร หรือ 3,040 ล้านดอลลาร์ ในช่วงไตรมาสสี่ ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ซึ่งอยู่ที่ 2,920 ล้านยูโรมาก เมอร์เซเดส – เบนซ์ แถลงว่าว่าการขึ้นภาษีรถยนต์นำเข้าจากสหรัฐที่ส่งไปยังจีนและการหยุดส่งมอบรถยนต์ดีเซล ส่งผลกระทบต่อดีมานด์ และส่งกระทบให้ราคารถยนต์ดีเซลต่ำลง ผลตอบแทนจากยอดขายรถยนต์เมอร์เซเดส – เบนซ์ ลดลงเหลือ 7.3% ในช่วงไตรมาสสี่ จาก 9.5% ในช่วงปีก่อนหน้า สำหรับปี 2562 บริษัทคาดการณ์ว่ายอดขาย รายได้กำไรก่อนหักภาษี และดอกเบี้ย จะโตเล็กน้อยโดยคาดว่าผลตอบแทนจากยอดขายรถเก๋งเมอร์เซเดส – เบนซ์ จะอยู่ระหว่าง 6-8% ในขณะที่ผลตอบแทนยอดขายของรถแวนเมอร์เซเดส – เบนซ์อยู่ระหว่าง 5-7% ดีเตอร์ เซตเตอ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเดมเลอร์ กล่าวว่า ประมาณการยอดขายรถยนต์และรถแวน เมอร์เซเดส – เบนซ์ ต่ำกว่าเป้าหมายในระยะยาว บริษัทไม่สามารถพอใจกับการประมาณการนี้ได้ และตั้งเป้าที่จะทำให้มีกำไรระหว่าง 8-10% ภายในปี 2564 อย่างไรก็ดี เมอร์เซเดส – เบนซ์ยังคงเป็นแบรนด์รถยนต์หรูที่มียอดขายมากสุดในปีที่ผ่านมา โดยยอดขายมากสุดในปีที่ผ่านมา โดยยอดขายรถยนต์ใหม่อยู่ที่ 2.31 ล้านคัน ตามาด้วยบีเอ็มดับเบิ้ลยูมียอดขาย 2.12 ล้านคัน และออดี้มียอดขายรถยนต์ใหม่ 1.81 ล้านคันในปีที่ผ่านมา

ที่มา : หนังสือพิมพ์ ข่าวหุ้น ฉบับวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2562

                 ครม.เคาะปัญหาฝุ่น 3 ระยะ เผย 11 หน่วยงานเกาะติดแก้ปัญหา ชงขึ้นภาษีรถยนต์เก่า ห้ามนำเข้าเครื่องยนต์เก่าจากต่างประเทศ ลดภาษีรถยนต์ไฟฟ้า หนุนแผนผลิตน้ำมันยูโร 5 นายกฯเผย 600 โรงงานหยุดปรับปรุง รับมือฝุ่นอีกระลอกวันนี้ “ปตท.-บางจาก” นำร่องลดดีเซลพรีเมียม 1 บาท สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดต่างๆนำมาสู่การออกมาตรการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึง 11 หน่วยงานเพื่อแก้ปัญหาตั้งแต่ระยะสั้นถึงระยะยาว รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลระบุว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบแนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก มีแนวโน้มสูงขึ้นและเกินมาตรฐานหลายพื้นที่ โดยมีแนวทางการปฎิบัติ 3 ขั้น ได้แก่ ขั้นเตรียมการ(ช่วงดก่อนเกิดสถานการณ์ : ก.ย. – พ.ย. ) เพื่อพร้อมรับมือเมื่อฝุ่นละอองสูงขึ้น ขั้นปฎิบัติการ (ช่วงเกิดสถานการณ์ : ธ.ค. – เม.ย.) ซึ่งได้ปรับปรุงแผนปฎิบัติการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กในกรุงเทพฯ ปริมณฑลและจังหวัดต่างๆ โดยยกระดับความเข่มข้นของมาตรการตามความรุนแรงของสถานการณ์ฝุ่นละออง รวมถึงปรับเปลี่ยนใช้น้ำมัน B20 ในรถโดยสารดีเซล และเร่งผลิตน้ำมันดีเซลเทียบเท่ามตรฐานยูโร 5 (กำมะถัน ไม่เกิน 10 พีพีเอ็ม) มาจำหน่ายในพื้นที่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงงดกิจกรรมที่ส่งผลทำให้เกิดฝุ่นละออง ห้ามเผาในที่โล่งแจ้ง ตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรมอย่างเข้มงวด ห้ามรถยนต์ที่มีมลพิษสูงสัญจรในกรุงเทพฯชั้นกลางและชั้นนอก

ที่มา : หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562

                   “บ้านปู” ลุยธุรกิจผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ทุ่ม 635 ล้าน เข้าถือหุ้น 21.5% ใน “ฟอมม์ คอร์ปอเรชั่น” หวังขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาดต่อยอดธุรกิจแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ถาคเอกชน เริ่มขยายธุรกิจแตกไลน์ลุยตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นโดยก่อนหน้านี้ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC เปิดตัวรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าอีวีสกูดเตอร์ ช่วยลดมลพิษ ล่าสุด บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU ส่งบริษัทย่อยซื้อหุ้นในบริษัท ฟอมม์ คอร์ปอเรชั่น ผู้ออกแบบและผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก (Compact EV) จากประเทศญี่ปุ่นมูลค่าลงทุน 20 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 635 ล้านบาท นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU ได้กล่าวว่า บริษัท บ้านปู อินฟิเนอร์จี จำกัด (BPIN) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ได้ลงนามสัญญาเพื่อเข้าซื้อหุ้นจำนวน 21.5% ในฟอมม์ คอร์ปอเรชั่น การลงทุนครั้งนี้เป็นการขยายการลงทุนเพื่อพัฒนาธุรกิจพลังงานสะอาดที่ทันสมัยในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก ซึ่งรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอีกหนึ่งโซลูชั่นที่บริษัทได้ศึกษา และเชื่อว่าเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตได้ดีถือเป็นการต่อยอดธุรกิจจากการลงทุนในบริษัทผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า และเป็นการต่อยอดความพร้อมในการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวเข้าสู่การเป็นสมาร์ทซิตี้อย่างสมบูรณ์ในอนาคต นอกจากการลงทุนดังกล่าวแล้วหน่วยงาน BANPU Innovation & Ventures หรือ BIV ซึ่งกลุ่มบ้านปูได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี และสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ เพื่อรองรับรูปแบบการใช้พลังงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ดดยได้มีการลงนามในสัญญาความร่วมมือระหว่างกันในการถ่ายทอดวิทยาการ ความรู้ต่างๆโดยมุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาและการลงทุนในธุรกิจ โรงไฟฟ้าเสมือน (Virtual Power plants) , การพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Micro-grids), รถยนต์ไฟฟ้า (EV), สถานีชาร์จรถไฟฟ้า และแบตเตอรี่ ซึ่งภายใต้กรอบความร่วมมือดังกล่าว ยานพาหนะไฟฟ้าภายใต้การพัฒนาของ FOMM ได้มีการใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไออน ที่พัฒาและผลิตโดยบริษัท Durapower Technology (Singapore) Pte.Ltd. ซึ่งบ้านปูเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น 47.68%

ที่มา : หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2562

                        รถยนต์มายด์ไฮบริด (Mild Hybrid) เล็งปลดเงื่อนไขภาษีสรรพสามิต ไม่จำเป็นต้องผลิตกระแสไฟฟ้าต่ำกว่า 60 โวลต์ ส่งผลอัตราภาษีเท่ากับรถยนต์ไฮบริดที่อัตรา 4% แหล่งข่าวกระทรวงการคลังเปิดเผยว่ากระทรวงการคลังเตรียมเสนอปลดล็อคเงื่อนไขภาษีสรรพสามิตของรถยนต์ประเภท มายด์ไฮบริด ที่อาจไม่จำเป็นต้องผลิตกระแสไฟฟ้าต่ำกว่า 60 โวลต์อีกต่อไป การปลดล็อคในครั้งนี้ เนื่องจากจะสามารถได้รับอัตราภาษีสรรพสามิตเท่ากับรถยนต์ไฮบริด คืออัตรา 4% ทั้งนี้ ฟลูไฮบริด จะสร้างกระแสไฟฟ้าเกิน 60 โวลต์และสามารถขับเคลื่อนรถยนต์ด้วยไฟฟ้าได้ การเสนอประเภทรถยนต์ใหม่เป็นมายด์ไฮบริด ดังกล่าว เนื่องจากบางค่ายรถยนต์ ยังมองเห็นว่า รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ยังไม่สามารถทำตลาดได้ในประเทศไทย เนื่องจากยังมีราคาแพงกว่ารถยนต์ที่สันดาปภายในเครื่องยนต์ โดยเฉพาะตัวแบตเตอรี่ที่เก็บกระแสไฟฟ้าราคาเป็นหลักแสนบาท รวมทั้งการชาร์ตไฟต่อครั้งใช้เวลานาน 8 ชั่วโมงจึงเต็ม แต่วิ่งได้เพียง 160 กิโลเมตรเท่านั้น นอกจากนี้ราคาขายต่อจะตกลงมากกว่ารถที่ใช้น้ำมัน ดังนั้นการทำรถประเภท มายด์ไฮบริด น่าจะเป็นทางเลือกในระหว่างประเทศยังไม่มีความพร้อมที่จะไปสู่รถยนยต์ประเภท EV อย่างเต็มตัว ซึ่งปัจจุบันสถานีเติมไฟฟ้าก็ยังมีไม่แพร่หลาย อย่างไรก็ตามหากอนุมัติให้มีมายด์ไฮบริด เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของโครงสร้างภาษีสรรพสามิต โดยให้อัตราภาษีเท่ากับรถยนต์ประเภท ฟลู ไฮบริด คือที่อัตรา 4% อาจทำให้การพัฒนสู่อุตสาหกรรมรถยนต์ EV ของประเทศไทยสะดุดเนื่องจาก ยังเป็นการส่งเสริมรถยนต์ที่ใช้ระบบสันดาปภายใน ด้วยอัตราภาษีที่ต่ำเท่ากับรถยนต์ที่สามารถขับเคลื่อนด้วย EV ไม่สามารถมุ่งสู่ทิศทางที่เป็นแนวโน้มของโลกที่มุ่งสู่รถยนต์ EV ได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้สาเหตุที่ค่ายรถยนต์บางค่ายเสนอให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีบีโอไอและกระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาเพิ่มประเภทรถยนต์มายด์ไฮบริด นั้นนอกจากปัญหาด้านการตลาดดังกล่าวแล้ว ยังเป็นเรื่องการลงทุนที่สูงกว่าซึ่งค่ายรถยนตยังไม่ต้องลงทุน ซึ่งค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ในแระเทศไม่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าวที่กระทรวงอุตสาหกรรมต้องการสนับสนุน และได้เสนอความเห็นมาให้กระทรวงการคลังพิจารณาแล้ว

ที่มา : หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2562

                    เมื่อวันที่ 30 มกราคม นายณัฐพล รังสิตพล ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า สศอ.ได้เร่งรัดให้มีการบังคับใช้มาตรฐานการระบายสารมลพิษทางอากาศจากรถยนต์ให้เร็วยิ่งขึ้น หลังเกิดปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่กลายมาเป็นปัญหาใหญ่ ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากการสะสมของรถยนต์มาตรฐานยูโร 4 กว่า 10 ล้านคัน ปล่อยฝุ่นควันจำนวนมาก โดย สศอ. เตรียมกำหนดให้ผู้ประกอบการที่ผลิตรถยนต์ใหม่ในประเทศ ต้องผ่านมาตรฐานยูโร 5 เป็นขั้นต่ำภายใน 1-2 ปี หรือเริ่มผลิตมาตรฐานยูโร 5 ทุกคันในปี 2561 และกำหนดให้โครงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ต้องผลิตรถยนต์ที่ผ่านมาตรฐานยูโร 6 แนวทางนี้ คาดว่าการยกระดับมาตรฐานตามสหภาพยุโรป (อียู) จะช่วยลดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กลงได้ถึง 37,391 ตัน หรือลดลงจากเดิมประมาณ 80% ภายในปี 2564 นายณัฐพลกล่าวว่า แนวทางเร่งรัดคือการประสานกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ในการออกมาตรฐานบังคับสำหรับรถยนต์มาตรฐานยูโร 5 ที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศ รวมทั้งนำเข้ารถยนต์ประมาณ 171 รุ่น การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองทุกภาคส่วนจะต้องร่วมมือกัน โดยประชาชนสามารถเลือกซือรถยนต์ที่ผ่านมาตรฐานใหม่ยูโร 5 ขึ้นไปที่ปล่อยมลพิษฝุ่นละออง PM2.5 เพียง 1 ใน 5 ของมาตรฐานยูโร 4 เดิม และประชาชนสามารถตรวจสอบข้อมูลรถยนต์ที่ผ่านมาตรฐานยูโร 5 และยูโร 6 ผ่านฉลากอีโค สติ๊กเกอร์ ที่ติดอยู่บนตัวรถยนต์ หรือสามารถเข้าไปดูได้ที่ www.car.go.th นายณัฐพลกล่าว

ที่มา : หนังสือพิมพ์ มติชน (ตจว.) ฉบับวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562

                นายณัฐพล รังสิตพล ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่าการส่งออกรถยนต์ของไทย เริ่มต้องจับตา เนื่งจากลดลงต่อเนื่อง 3 ปีติด ตั้งแต่ปี 59 ติดลบ 1.5% ปี 60 ติดลบ 4.11% ปี 61 ติดลบ 0.08% ส่วนปี 62 ภาคเอกชนประเมินว่า จะติดลบ 3.56% ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากผู้ประกอบการค่ารถยนต์ ที่มีการย้ายฐานการผลิตบางสินค้าออกไปในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งในประเทศเวียดนาม และอินโดนีเซียแล้ว อาจจะมาจากข้อเจรจาในประเทศไทยที่ยังไม่ม่ความชัดเจน และสินค้าไทยไม่สอดคล้องกับตลาด ขณะที่ตลาดรถยนต์ในประเทศมีการขยายตัวที่ดีต่อเนื่องในปี 61 ขยายตัว 0.79% ทำให้ภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยจะพึ่งพาตลาดในประเทศมากขึ้น “ภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์มีการผลิตเพื่อใช้ในประเทศมากขึ้น ทำให้การส่งออกลดลงต่อเนื่องมาเป็นเวลา 3 ปีแล้วและประเมินว่าในปีนี้จะลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 มาจากผลิตภัณฑ์รถยนต์ของไทยไม่สอดคล้องกับตลาดในต่างประเทศ ซึ่งเราต้องมีมาตรการในเรื่องนี้ออกมา เพราะประเทศไทยมีจุดยืน เป็นฐานการผลิตรถยนต์ของโลก” ส่วนภาพรวมดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม หรือเอ็มพีไอ ทั้งปี 61 ขยายตัว 2.8% ถือว่า อยู่ในกรอบที่วางไว้ทั้งปี จะขยายตัว 2.5-3% ส่วนเดือนธันวาคม่ 61 ขยายตัว 0.75% มีปัจจัยบวกจากภาคอุตสาหกรรมที่ขยายตัว ทั้ง รถยนต์ น้ำตาลทราย ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และแผ่นวงจร โซดาและน้ำดื่มบรรจุขวด กระเป๋าเดินทางและกระเป๋าถือ ส่วนอุตาหกรรมที่ดัชนีลดลง คือ ยางรถยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าในส่วนของเครื่องซักผ้า สำหรับในปี 62 คาดว่า ดัชนีเอ็มพีไอ จะขยายตัว 2-3% โดยเดือน มกราคมนี้ มีปัจจัยที่มีผลกระทบต่อภาพรวมดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ทั้งผลกระทบต่อเนื่องจากสงครามการค้าจีน-สหรัฐ โดยทั้ง 2 ประเทศกำลังอยู่ระหว่างเจรจาเป็นเวลา 90 วัน จนถึงเดือนมีนาคม นี้ ซึ่งต้องหารือในหลายด้าน สถานการณ์คุณภาพอากาศและฝุ่นละออง ที่เริ่มมีผลกะทบมากขึ้น

ที่มา : หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์ (บ่าย) ฉบับวันที่ 31 มกราคม 2562

                      นายณัฐพล รังสิตพล ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (เอ็มพีไอ) ประจำเดือนธันวาคม 2561 อยู่ที่ 112.54 ขยายตัวต่อเนื่องที่ 0.75% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ระดับ 111.70 โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ที่การผลิตขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เอ็มพีไอปี 2561 อยู่ที่ 115.08 ขยายตัว 2.80% ขยายตัวเพิ่มจากปี 2560 อยู่ที่ระดับ 111.94 ที่ขยายตัว 2.50% ส่วนอัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนธันวาคมอยู่ที่ 66.88% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 67.77% และเทียบกับเดือนก่อนหน้าอยู่ที่ 69.31% ซ่งอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 68.4% จากปี 2560 อยู่ที่ 67.12% ภาพรวมภาคอุตสาหกรรมที่ขยายตัว เนื่องจากอุตสาหกรรมรถยนต์ขยายตัว 9.65% น้ำตาลทรายขยายตัว 30.46% ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และแผงวงจรขยายตัว 6.96% โซดาและน้ำดื่มบรรจุขวดขยายตัว 14.43% กระเป๋าเดินทางและกระเป๋าถือขยายตัว 189.74% ที่เร่งผลิตและส่งมอบช่วงเทศกาลปีใหม่จากคำสั่งซื้อของตลาดในประเทศเป็นหลักที่เพิ่มขึ้น 685.59% แม้ยอดขายรถยนต์เดือนธันวาคม 2561 ที่ 113.581 คัน สูงสุดในรอบ 5 ปี นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2557 แต่เป็นที่น่าสังเกตุว่า เอกชนคาดการณ์ยอดขายในปี 2562 ยอดส่งออกรถยนต์ลดลง ขณะที่ยอกจำหน่ายในประเทศเพิ่มสูงขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงมาตรฐานรถยนต์ของไทยไม่สอดคล้องกับมาตรฐานรถยนต์ของต่างประเทศหรือไม่ เนื่องจากแนวโน้มการใช้รถยนต์ทั่วโลก มีทิศทางเปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยี ที่พัฒนาไปสู่การเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นายณัฐพลกล่าวว่า อาจจะมีผลกระทบต่อเป้าหมายที่ไทยจะเป็นฐานการผลิตรถยนต์ของโลก อีกทั้งล่าสุด สินค้าที่โดดเด่น (โปรดักส์ แชมป์เปี้ยน) ได้ย้ายไปอยู่ที่ประเทศมาเลเซียและเวียดนามแล้ว ไทยจึงต้องพิจารณาว่าสินค้าที่ส่งออกลดลง เป็นไปตามความต้องการของตลาดโลกหรือไม่ อย่างไรก็ตาม สศอ.ยังคงคาดการณ์ เอ็มพีไอปี 2562 อยู่ที่ 2-3% ผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) อุตสาหกรรมคาดอยู่ที่ 2-3%

ที่มา : หนังสือพิมพ์  ข่าวสด  ฉบับวันที่ 30 มกราคม 2562

                  ก.ล.ต.สหรัฐเปิดฉากสอบนิสสัน กรณีความถูกต้องของค่าตอบแทนผู้บริหารระดับสูง บลูมเบิร์ก รายงานอ้างว่าแหล่งข่าวว่า คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (เอสอีซี) กำลังสอบสวนบริษัท นิสสัน มอเตอร์ ค่ายรถใหญ่อันดับ 2 ของญี่ปุ่น เกี่ยวกับการจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารระดับสูงในสหรัฐ ว่าเข้าข่ายละเมิดกฎหมายหลักทรัพย์ของสหรัฐหรือไม่หลังเกิดเรื่องอื้อฉาวจากกรณี คาร์ลอส กอส์น อดีตประธานนิสสัน ถูกจับกุมตัวเนื่องจากประพฤติผิดร้ายแรงด้านการเงิน แหล่งข่าวระบุว่า เอสอีซีกำลังสอบสวนนิสสันใน 2 กรณี คือเปิดเผยค่าตอบแทนที่นิสสันจ่ายให้ผู้บริหารมีความถูกต้องหรือไม่ และบริษัทมีมาตรการควบคุมเพื่อป้องกันการจ่ายเงินที่ไม่ถูกต้องดังกล่าวหือไม่ โดยขณะนี้การสอบสวนดังกล่าวยังอยู่ในขั้นต้นเท่านั้น ด้าน คริสตินา อดัมสกี โฒษกของนิสสัน ได้ออกม่ยืนยันว่า นิสสันกำลังถูกสอบสวนจากเอสอีซีจริง และบริษัทก็ได้ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ซึ่งหลังข่าวนี้ได้เผยแพร่ออกไป หุ้นของนิสสันได้ร่วงลงมากถึง 2.7% ระหว่างการซื้อขายวานนี้ นับเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบ 3 สัปดาห์ ทั้งนี้หุ้นนิสสันซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐผ่านใบรับฝากหุ้นที่ออกดดยสถาบันการเงินในสหรัฐ (เอดีอาร์) ทำให้เอสอีซีมีอำนาจเข้าไปตรวจสอบได้ แม้กรณีของนิสสันส่วนใหญ่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นและยุโรป แต่แหล่งข่าวเกี่ยวข้องเปิดเผยว่าเอสอีซีอาจสามารถลงโทษทางการเงินและมีคำสั่งห้ามมิให้ละเมิดกฎหมายของสหรัฐหรือกฎของเอสอีซีได้

ที่มา : หนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ 29 มกราคม 2562

ศูนย์สารสนเทศยานยนต์

ติดต่อ ศูนย์สารสนเทศยานยนต์ สถาบันยานยนต์

อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา (สพข.) ซ.ตรีมิตร กล้วยน้ำไท ถ.พระรามที่ 4 แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110
โทรศัพท์: 0-2712-2414 ต่อ 6443
email : aiu@thaiauto.or.th